Me Before You เป็นภาพยนตร์ที่ทั้งอ่อนโยนและโหดร้ายในเวลาเดียวกัน มันเหมือนการเดินทางที่เริ่มต้นด้วยเสียงหัวเราะ เสียงของความสดใส และความรักที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่มีใครอยากเลือก แต่กลับค่อยๆ พาเราไปสู่ปลายทางที่เต็มไปด้วยน้ำตาและคำถามในใจที่ไม่มีคำตอบตายตัว
เรื่องราวเริ่มต้นจาก ลู คลาร์ก หญิงสาวธรรมดา สดใส ร่าเริง มีสไตล์การแต่งตัวที่ไม่เหมือนใคร และเต็มไปด้วยพลังงานชีวิต ถึงแม้เธอจะไม่ใช่คนที่มีความฝันยิ่งใหญ่หรือเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต แต่เธอก็เป็นคนที่พยายามเติมเต็มวันของตัวเองด้วยความสุขเล็กๆ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
แล้ววันหนึ่ง เธอได้รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลชายหนุ่มชื่อ วิล เทรย์เนอร์ อดีตนักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จ หล่อ ฉลาด และเคยใช้ชีวิตอย่างอิสระสุดขั้ว จนกระทั่งอุบัติเหตุทำให้เขากลายเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงอกลงไป เขากลายเป็นคนเย็นชา เฉยเมย และปิดกั้นตัวเองจากทุกสิ่งรอบตัว ด้วยความรู้สึกว่าโลกใบเดิมที่เขาเคยรู้จัก มันได้จากเขาไปตลอดกาล

แต่การมาของลูคือแสงแดดเล็กๆ ที่ส่องเข้ามาในชีวิตของเขา ลูไม่ใช่พยาบาลมืออาชีพ เธอไม่รู้วิธีดูแลผู้ป่วยอย่างเป็นทางการ แต่เธอรู้วิธีทำให้ใครบางคนหัวเราะ เธอพาเขาไปดูหนัง ฟังเพลง นั่งชมวิว และแม้แต่การเต้นรำบนรถเข็นในงานเลี้ยงกลางคืน เธอเชื่อว่าเธอจะเปลี่ยนใจเขาได้ เชื่อว่าความรักและความห่วงใยที่เธอมอบให้ จะทำให้เขากลับมาอยากมีชีวิตอยู่ต่อ
แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่าง ไม่ใช่เพียงแค่ความรักระหว่างคนสองคนที่ต่างกันสุดขั้ว แต่มันคือการตั้งคำถามกับสิ่งที่เรียกว่า “คุณภาพของชีวิต” วิลรู้ดีว่าเขาไม่มีวันกลับมาเดินได้ ไม่มีวันกระโดดร่ม ดำน้ำ หรือใช้ชีวิตแบบที่เขาเคยรัก เขาเลือกที่จะตัดสินใจบางอย่างที่สวนทางกับความรู้สึกของลู และสวนทางกับหัวใจของคนดูทั้งโรง เขาไม่ได้หมดรักเธอ แต่เขาแค่รักเธอมากพอที่จะไม่ผูกเธอไว้กับชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ของเขา
เอมิเลีย คลาร์ก ในบทลู คลาร์กคือแสงสว่างของเรื่อง เธาเต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีรอยยิ้มที่เปล่งประกายและดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวัง ในขณะที่ แซม คลาฟลิน ถ่ายทอดบทวิลได้อย่างลึกซึ้ง เงียบขรึม แต่สะท้อนความเจ็บปวดได้ทุกครั้งที่เขามองออกไปนอกหน้าต่าง หรือหันหน้าหนีเมื่อมีใครพูดถึงอดีตของเขา
Me Before You เป็นหนังที่ไม่ได้ชวนฝัน แต่ชวนให้รู้สึก หนังไม่ได้จบแบบเทพนิยาย แต่มันจบลงในแบบที่ชีวิตจริงมักเป็น คือไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ได้มีคำตอบที่ถูกที่สุดสำหรับทุกคน แต่มันซื่อตรงกับตัวละครของมัน และยอมให้คนดูเลือกเองว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจการตัดสินใจของใครบางคนที่เลือก “จบ” เพื่อให้อีกคน “เริ่มต้น”
มันคือหนังที่ไม่แค่พูดถึงความรัก แต่พูดถึงการยอมรับ การให้อิสระ และการรู้ว่า “บางครั้ง ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อาจเป็นการปล่อยให้เขาไป” และสำหรับใครที่ยังไม่เคยดู อย่าลืมเตรียมทิชชู่ไว้ข้างๆ เพราะมันอาจจะเปียกก่อนที่หนังจะจบ