รีวิวหนัง Brokeback Mountain (2005) 

รีวิวหนัง Brokeback Mountain (2005) 

เรียกได้ว่า Brokeback Mountain คือหนังที่ไม่ได้เพียงแค่เล่าเรื่องรักของชายสองคนในยุคที่โลกยังไม่เปิดใจ แต่มันค่อยๆ ขุดลึกลงไปในหัวใจของมนุษย์ ในความโหยหา, ความเจ็บปวด, ความกลัว และความเสียใจที่ไม่เคยพูดออกมา หนังเรื่องนี้คือบทกวีที่เขียนด้วยภาพและสายลมในทุ่งหญ้า มันไม่รีบเร่ง มันปล่อยให้ความรู้สึกค่อยๆ ซึมซับเหมือนสายฝนที่ตกลงมากลางหุบเขา แล้วค่อยๆ กัดกร่อนความแข็งแกร่งภายนอกของตัวละคร จนเผยให้เห็นความเปราะบางที่ถูกฝังไว้ข้างใน

เรื่องราวเกิดขึ้นในรัฐไวโอมิงปี 1963 เมื่อเอนนิส เดล มาร์ กับแจ็ค ทวิสต์ ชายหนุ่มสองคนที่มาทำงานเป็นคนเลี้ยงแกะบนยอดเขาโบร๊กแบ๊ก พวกเขาเริ่มต้นจากความเงียบ ความห่างเหิน ความรู้สึกแปลกแยกที่ทั้งคู่ต่างก็มีอยู่ในตัวเอง แต่ในความว่างเปล่าของภูเขา ความเหงาในกลางธรรมชาติที่ไร้ผู้คน มันเปิดพื้นที่ให้ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยมีโอกาสแสดงออก ได้ค่อยๆ เบ่งบานอย่างไม่รู้ตัว

คืนหนึ่งที่อากาศหนาวจัด กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครในยุคนั้นกล้าแม้แต่จะพูดถึง พวกเขาไม่ได้รักกันในแบบโรแมนติกหวือหวา ไม่มีบทสนทนาหวานซึ้ง ไม่มีคำสัญญา มีแค่ความรู้สึกจริงที่ซับซ้อนเกินจะใส่ไว้ในคำพูด และการกระทำที่เกิดขึ้นท่ามกลางความหวาดกลัวต่อสังคม ต่อความไม่เข้าใจ ต่อชีวิตที่ไม่มีที่ให้คนอย่างพวกเขาอยู่ได้อย่างเต็มที่

เอนนิสเป็นชายที่เติบโตมากับความยากจนและความกลัว กลัวจะถูกเกลียด กลัวจะผิดธรรมเนียม กลัวแม้แต่จะยอมรับในหัวใจตัวเอง เขาเลือกชีวิตที่ดู “ปกติ” แต่งงาน มีลูก ใช้ชีวิตในความเย็นชาและความเศร้าที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ ส่วนแจ็คเป็นคนที่กระตือรือร้น เปิดกว้าง และกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะรัก และกล้าที่จะเสี่ยง แต่เขาเองก็ยังต้องแบกรับความอึดอัดและความผิดหวังอยู่ดี เพราะคนที่เขารักไม่กล้าจะเดินออกมาจากโลกที่ตีกรอบไว้

ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ทั้งคู่พบกันเป็นระยะๆ พวกเขาใช้เวลาสั้นๆ บนยอดเขาเพื่อหลีกหนีโลกที่ไม่ยอมรับความรักของพวกเขา โลกที่บังคับให้พวกเขาต้องแสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่หัวใจยังเต้นแรงทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากัน

ภาพยนตร์ไม่ได้เล่นใหญ่หรือพยายามเรียกน้ำตา แต่มันใช้ความเงียบ ใช้ธรรมชาติ ใช้สายตาของตัวละครสื่อสารความรู้สึกได้อย่างทรงพลัง การแสดงของฮีธ เลดเจอร์ ในบทเอนนิสคือความอึดอัดที่ไม่อาจระบายออกมาได้ เขาไม่พูดมาก แต่ทุกคำที่กลั้นไว้ ทุกคิ้วที่ขมวด ทุกเสียงสั่นเวลาจะเอ่ยบางคำ ล้วนสะเทือนอารมณ์ มันคือความเจ็บที่ไม่ร้องไห้แต่น้ำตาจะไหลจากคนดูแทน ส่วน เจค จิลเลนฮาล ก็รับบทแจ็คได้อย่างเข้าถึง ทั้งในช่วงที่เขาพยายามดิ้นรนไขว่คว้าความรัก และช่วงที่เขาค่อยๆ เหนื่อยล้าและหมดหวัง

เรียกได้ว่า ไม่ใช่หนังรักธรรมดา แต่มันคือการพูดถึงความรักในโลกที่ไม่อนุญาตให้ความรักทั้งหมดเติบโตได้อย่างเท่าเทียม มันคือเรื่องของหัวใจสองดวงที่พยายามมีชีวิตอยู่ท่ามกลางโซ่ตรวนของกรอบสังคม ความกลัว และความคาดหวังของ “ความถูกต้อง” ที่ไม่ได้เปิดที่ว่างให้กับสิ่งที่แตกต่าง

มันคือหนังที่เมื่อดูจบ คุณอาจจะนิ่งไปสักพัก แล้วค่อยๆ รู้ตัวว่าใจคุณกำลังหดเล็กลงเหมือนโดนบีบเบาๆ จากความรู้สึกที่ไม่มีคำพูดใดแทนได้ นี่คือหนังที่ไม่ได้แค่บอกว่า “ฉันรักเธอ” แต่มันกำลังถามว่า “ถ้ารักแล้วต้องเจ็บขนาดนี้ ยังจะกล้ารักอยู่ไหม?”

และคำตอบ… คงอยู่ในหัวใจของผู้ชมแต่ละคน