สำหรับบทหนัง The Boss Baby ภาคนี้ยังคงได้ ไมเคิล แม็กคัลเลอร์สภาคนี้ยังคงได้ ไมเคิล แม็กคัลเลอร์ส มาดัดแปลงบทจากหนังสือของ มาร์ลา ฟราซี และเติมเรื่องราวจากไอเดียของ ทอม แม็คกราธ ผู้กำกับต้องการบอกเล่าซึ่งหากมองที่บทอย่างเดียวก็คงต้องบอกว่าพอเป็นหนังภาคต่อและตั้งโจทย์ให้มันใหญ่ขึ้นทุกอย่างเลยถูกอัดเข้ามาเยอะเกินไปทั้งปมเรื่องพี่น้องปมเรื่องลูกสาววัยรุ่นและไหนจะเล่าถึงโลกของเบบี้คอร์ปส์และแผนร้ายของ ดร.อาร์มสตรองอีกผลลัพธ์ของมันเลยทำให้นี่เป็นแอนิเมชันที่เรื่องราวอีรุงตุงนังสุด ๆ จนปมทั้งหลายไม่ค่อยส่งผลในเชิงดราม่าหรือเรียกความซาบซึ้งให้แก่หนังสักเท่าไหร่
แต่กระนั้นสิ่งที่มาแทนที่คงหนีไม่พ้นบรรดามุกตลกที่มาสร้างสีสันนี่แหละ แม้ว่าหลายมุกจะหมิ่นเหม่จนเกือบเป็นมุกสำหรับผู้ใหญ่เช่นตอนเท็ดเอาแครอตมาคาบแล้วให้ลูกม้าดูดปากแล้วลามไปทั้งหัวที่ดูแล้วน่าเกลียดมากกว่าน่ารักไปหน่อยแต่ก็ยังถือว่าเรียกเสียงฮาได้ไม่ฝืดนัก ไปจนถึงบรรดาสีสันของคาแรกเตอร์แปลกๆ ทั้ง เบบี๋นินจา ที่ดูว่องไวสร้างความตื่นเต้นดี หรือแม้กระทั่งการล้อเลียนห้องเรียนสร้างเด็กอัจฉริยะกับห้องเลี้ยงเด็กอ่อนที่ล้อเลียนระบบการศึกษาและสถานเดย์แคร์ได้อย่างเจ็บแสบก็ล้วนสร้างความบันเทิงให้คนดูอย่างเต็มที่
ไปจนถึงคาแรกเตอร์ใหม่ที่หนังสร้างมาเพื่อภาคต่อภาคนี้ทั้ง ดร.อาร์มสตรอง ที่ได้เจฟฟ์ โกลด์บลัม มาพากย์เสียงตัวร้ายที่ทั้งกวนและมีเสน่ห์ ไปจนถึงตัวละคร เบบี๋ คนใหม่อย่างทีน่าที่ได้เอมี ซีดาริส จากซีรีส์ ‘Unbreakable Kimmy Schmidt’ มาพากย์เสียงทารกสาวได้อย่างมีสีสันทั้งน่ารักและกวนสุดๆ แถมได้บรรยากาศสุดเวียร์ดแบบทารกแต่เสียงผู้ใหญ่เหมือนตัวละครเท็ดในหนังภาคแรกได้เป็นอย่างดี รวมถึงได้ฟังเสียงร้องสุดไพเราะของอาเรียนา กรีนแบลตท์ ที่มาพากย์เป็นทาบิธา จนทำให้แอนิเมชันภาคต่อเรื่องนี้มีอะไรน่าจดจำมากกว่าแค่ความตลกและการขายความน่ารักของเบบี๋ไปเรื่อย