ภาพยนตร์อนิเมชั่น Stop-Motion เรื่องที่น่าจะโด่งดังสุดในโลกมักออกฉายซ้ำทุกๆ Halloween ดัดแปลงจากบทกวีของ Tim Burton แต่เพราะติดสัญญาต้องกำกับ Batman Returns จึงมอบหมายให้เพื่อนสนิท Henry Selick สานต่องานแทน ด้วยสไตล์เด็กๆ อาจฝันร้ายส่วนผู้ใหญ่จะอึ้งทึ่งกับความงามทางศิลปะต้องดูให้ได้ก่อนตายเมื่อพูดถึงเทศกาล Halloween มักมีภาพยนตร์ 2 เรื่องที่ใครๆ มักระลึกถึงขอเท้าความถึงต้นกำเนิดเทศกาลสักหน่อยก่อนแล้วกัน, Halloween ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Eves โดยคำว่า Hallow แปลว่าทำให้ศักดิ์สิทธิ์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นักบุญฯ ดังนั้น All Hallow Eve จึงแปลว่าวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย มักคู่กับ Christmas Eve ซึ่งแปลว่า วัน(ก่อน)สมโภชพระคริสต์ หรือค่ำคืน(ก่อน)คริสต์มาส
วันฮาโลวีนของทุกปี จะตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม เชื่อว่ามีที่มาจากวันฉลองปีใหม่ของชาวเซลท์ (Celt) ในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่เรียกว่า Samhain ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความตายซึ่งวันที่ 31 ตุลาคม ถือเป็นวันที่มิติคนตายและคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันและวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็นต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตนชาวเซลท์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้านให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้ายและยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาดปลอมตัวเป็นผีร้ายและส่งเสียงดังเพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไปในสมัยต่อมาชาวโรมันคาทอลิกต้องการกำจัดพิธีเฉลิมฉลองของกลุ่มชนนอกศาสนาคริสต์เหล่านี้สันตะปาปา Gregory ที่ 4 จึงได้กำหนดวันที่ 1 พฤศจิกายนให้เป็นวันเฉลิมฉลอง All Saints Day สำหรับชาวคริสต์เพื่อระลึกถึงนักบุญและผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วแต่การเฉลิมฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม หรือ Hallow´s Eve ก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน แต่ชื่อเรียกได้เพี้ยนไปเป็น Halloween
แต่เดิมนั้น เทศกาลฮาโลวีนจัดขึ้นในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ สก็อตแลนด์ และประเทศข้างเคียงเท่า แต่เมื่อชาวไอริช และชาวสก็อต อพยพไปตั้งหลักแหล่งในสหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ 1840 ก็นำเอาประเพณีนี้ไปปฏิบัติด้วย ปรากฏว่าถูกใจชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติ จึงปฏิบัติตามกันอย่างจริงจังตลอดมา กลายเป็นเทศกาลประจำชาติจนทุกวันนี้
- กิจกรรมในวันฮาโลวีน เน้นเพื่อความสนุกสนานเป็นหลัก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง เรียกว่า การเล่น Trick or Treat (หลอกหรือเลี้ยง) เดินเคาะประตูขอขนมตามบ้าน
- นอกจากนี้ยังมีการนำแอปเปิ้ล กับเหรียญชนิดหกเพนซ์ใส่ลงในอ่างน้ำ หากใครสามารถแยกแยะของสองอย่างนี้ออกจากกันได้ด้วยการใช้ปากคาบเหรียญขึ้นมา และใช้ส้อมจิ้มแอปเปิลให้ติดเพียงครั้งเดียว ถือว่าผู้นั้นจะโชคดีตลอดปีใหม่ที่กำลังมาถึง
- ทางด้านสาวอังกฤษสมัยก่อนจะออกไปหว่านและไถกลบเมล็ดป่านชนิดหนึ่งในยามเที่ยงคืนของวันฮาโลวีน พร้อมกับเสี่ยงสัตย์อธิษฐานด้วยการท่องคาถาว่า เจ้าเมล็ดป่านที่ข้าหว่านจงช่วยบันดาลให้ผู้ที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของข้าปรากฏตัวให้เห็น หลังจากนั้นลองเหลียวมองผ่านบ่าด้านซ้ายของตนเองดู ก็จะได้เห็นนิมิตเรือนร่างของผู้ที่จะมาเป็นสามีในอนาคตของตน
ตำนานที่เกี่ยวกับฟักทอง เป็นเรื่องเล่าพื้นบ้านของชาวไอริช กล่าวถึง แจ๊กจอมตืด (Stingy Jack) ซึ่งเป็นนักเล่นกลขี้เมา วันหนึ่งหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับ ปีศาจ ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีกแล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้เมื่อแจ๊กตายลงเขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ เพราะเขามีความคิดไปในทางของความชั่วร้ายขณะเดียวกันก็ปฏิเสธที่จะลงนรกเพราะเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจไว้ ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขาเพื่อให้เขาใช้นำทางไปในทางที่มืดมิด และหนาวเย็นและแจ๊กได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอร์นิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้นชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาด (Turnip) และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีนเพื่อระลึกถึงการหยุดยั้งความชั่วเพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับและพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกาชาวอเมริกันพบว่าฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมากจึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน