[รีวิว] The Super Mario Bros. Movie: เด็กน้อย-เด็กหนวดมีกรี๊ด แต่ผู้กำกับยังอ่อนประสบการณ์ไปหน่อย

The Super Mario Bros. Movie: เด็กน้อย-เด็กหนวดมีกรี๊ด

เรื่องย่อ: การผจญภัยในอาณาจักรเห็ด ของมาริโอ ลุยจิ เจ้าหญิงพีช และผองเพื่อนเพื่อปกป้องอาณาจักรอันเป็นที่รักให้รอดพ้นจากวายร้ายบาวเซอร์ผ่านดินแดนที่แฟนเกมคุ้นเคยรวมถึงไอเทมจากเกมที่เราเคยเห็นเช่นดอกไม้ไฟ ดาว ชุดแปลงร่างหรือแม้แต่กระทั่งมาริโอคาร์ทก็ถูกนำมาไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยถือว่าเป็นคู่สร้างคู่สม-คู่เวรคู่กรรมโดยแท้สำหรับค่ายเกมอย่าง Nintendo เจ้าของลิขสิทธิ์เกมค่ายหนัง Universal Studios ผู้สร้างหนังระดับตำนานของฮอลลีวูด ที่เริ่มต้นกันไม่ค่อยสวยเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของวงการบันเทิงเมื่อปี 1983 เมื่อทางยูนิเวอร์แซลฟ้องร้องลิขสิทธิ์ตัวละครลิงยักษ์ในเกมว่าลอกคิงคองตัวละครดังในหนังคลาสสิกตัวเองซึ่งตอนนั้นนินเทนโดเพิ่งมาทำตลาดตะวันตกเป็นบริษัทต่างชาติตัวจ้อยที่ถ้าแพ้ยักษ์ใหญ่คือคงต้องม้วนเสื่อกลับประเทศไปเลย

และผลคือนินเทนโดเป็นฝ่ายชนะคดีและส่งผลให้บริษัทญี่ปุ่นหน้าใหม่ได้แจ้งเกิดในอเมริกาทำธุรกิจยาวนานมาจนกลายเป็นยักษ์ใหญ่วงการบันเทิงหนึ่งในปัจจุบันนอกจากนี้ยังทำให้ทนายความที่ช่วยนินเทนโดชนะคดีอย่าง จอห์น เคอร์บี ได้มีตัวละครและเกมของตัวเองอย่าง Kirby ด้วยและผลพวงอีกอย่างคือทำให้ตัวละคร Jump Man ในเกม ดองกี้คองภาคแรกได้กลายมาเป็นตัวเอกชื่อ มาริโอ ตามชื่อของผู้สนับสนุนคนสำคัญของค่ายเกมอย่าง มาริโอ ซีเกล (Mario Segale ) ในเกม ‘Donkey Kong Jr.’ (1982) จนมีซีรีส์ของตัวเองอีกยาวไกล ซึ่งความบาดหมางของสองบริษัทนั้นก็จบไปนานแล้วเมื่อยูนิเวอร์แซลทำหนังที่เอาเกมมาริโอมาใช้ใน ‘The Wizard’ (1989) จะเห็นว่าในแง่หนึ่งยูนิเวอร์แซลก็มีผลทางอ้อมให้กำเนิดนินเทนโดในอเมริกาและมีมาริโอที่ยิ่งใหญ่ตามมาในปัจจุบัน และนี่ก็เป็นการกลับมาทำงานร่วมกันอีกรอบในช่วง 30 กว่าปี

เป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งเพราะยูนิเวอร์แซลก็กำลังอยู่มือกับค่าย Illumination ที่ผลิตหนังซีจีแอนิเมชันชั้นดีหลายเรื่องอย่าง Minions(2015) และ The Secret Life of Pets(2016) และมีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมร่วมกับนินเทนโดในการทำธีมพาร์กด้วยความน่าเสียดายเพียงอย่างเดียวสำหรับโปรเจกต์หนังที่มีศักยภาพยิ่งใหญ่เรื่องนี้คือทางยูนิเวอร์แซลเลือกใช้แอรอน ฮอร์วาธและไมเคิลเยเลนิกที่เป็นผู้กำกับใหม่ถอดด้ามมาทำหน้าที่สำคัญนี้และเอามือเขียนบทแมตธิวโฟเกลที่เคยเขียนบทหนังคำวิจารณ์กลาง ๆ อย่าง ‘The Lego Movie 2: The Second Part(2019) และ Minions:The Rise of Gru (2022) มาเขียนบท ทำให้พอมองเห็นว่าค่ายน่าจะลุยให้หนังเน้นบันเทิงและจับกลุ่มเด็กน้อยเป็นหลักไปเลย

ซึ่งว่ากันตามตรงหนังก็ให้ความบันเทิงในระดับที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับคอเกมหรือคอ แอนิเมชัน และมีลูกเล่นในการเล่าที่ดี โดยเล่าเรื่องของสองพี่น้องมาริโอกับลุยจิที่ถูกมองว่าเป็นลูกที่ไม่เอาไหนแต่ทั้งสองคนก็เชื่อว่าถ้ารวมพลังกันสองพี่น้องก็ต้องผ่านทุกอุปสรรคคำถากถางทั้งหลายไปได้แต่แล้ววันหนึ่งพวกเขาก็หลุดเข้าไปในอาณาจักรแฟนตาซีที่วายร้ายบาวเซอร์กำลังทำลายอาณาจักรต่างๆ เพื่อครองโลกและเอาชนะใจเจ้าหญิงพีชแห่งอาณาจักรเห็ดไปพร้อมกันการให้เสียงพากย์ของ คริส แพรตต์ในบทมาริโอ และ แจ็ก แบล็ก ในบทบาวเซอร์ รวมถึง เซ็ธ โรเกน ในบทดองกี้คองถือว่าเป็นกลุ่มดาราที่เคยให้เสียงพากย์แอนิเมชันมาหลายเรื่องแล้วก็ทำหน้าที่ได้ดีหนังยังเลือกใช้นักแสดงที่เคยผ่านงานพากย์มาเป็นหลักในบทตัวละครอื่นๆ ด้วย

ถือว่าไม่น่าเป็นห่วงในเรื่องคุณภาพเลยแถมสำหรับคอเกมเรายังได้ยินเสียงชาร์ลส์ มาร์ทิเนตที่ให้เสียงมาริโอต้นฉบับจากเกมมารับบทพ่อของมาริโอในเรื่องด้วยก็ถือเป็นการให้เกียรติต้นฉบับอย่างมากขณะที่อันยา เทย์เลอร์-จอย ในบทเจ้าหญิงพีชที่เธอยังมีผลงานพากย์มาเพียงเรื่องเดียวนั้นก็ต้องบอกว่าทำได้ดีตามมาตรฐานแต่น่าเสียดายที่บทหนังไม่ได้ส่งให้เธอได้ใช้ฝีมือดึงมุมลึกๆ ของตัวละครออกมามากนักนอกจากนั้นแล้วหนังก็ถือว่าทำได้สนุกมีครบทุกอย่างในความเป็นนินเทนโด แถมฉากโชว์มุมมองแบบเกมแพลตฟอร์มด้านข้างช่วงต้นของหนังยังทำให้เราเห็นภาพเลยว่าถ้าเกมมาริโออยู่ในเครื่องเล่นเน็กซ์เจนมันจะหรูหราได้อีกขนาดไหนเป็นหนังที่คอเกมและเด็กหนวดน่าจะชื่นชอบส่วนคอหนังแอนิเมชันทั่วไปน่าจะเพลิดเพลินแต่รู้สึกไม่สุดนัก