จาก แอนิเมชัน ฮิตพอประมาณของดิสนีย์ในปี 2016 Moanaได้กลับมาเป็นสินทรัพย์ที่ดิสนีย์มองเห็นช่องทางสร้างรายได้อีกครั้ง แม้เริ่มต้นถูกพัฒนาเป็นแอนิเมชันภาคต่อเพื่อเอาลงดิสนีย์พลัสในปี 2020 แต่สุดท้ายดิสนีย์ก็เลือกนำมาลงโรงฉายในปี 2024 นี้ และยังมีโครงการสร้าง Moana เป็นหนังไลฟ์แอ็กชันโดยมี ดเวย์น จอห์นสันกลับมารับบทมาวอิที่เขาให้เสียงพากย์ไว้โดยวางกำหนดฉายไวว่ากันถึงเรื่องราวใน Moana 2 ที่คราวนี้โมอาน่าเจ้าหญิงนักสัญจรในฐานะว่าที่หัวหน้าเผ่าโมทูนุยได้ฤกษ์เดินทางข้ามมหาสมุทรอีกครั้งเพื่อแก้คำสาปของ นาโลเทพผู้เกลียดมนุษย์เข้าไส้โดยมีโมนีหนุ่มล่ำศิลปินประจำเกาะโมทูนุยเคเลเกษตรกรเฒ่าและโลโทสาวนักประดิษฐ์นอกจากนี้ภารกิจดังกล่าวยังนำทางเธอไปช่วยเหลือมาวอิลูกครึ่งเทพผู้วิเศษสหายเก่าของเธออีกด้วย
ต้องบอกว่านอกจากทีมพากย์ตัวละครหลักแล้วทีมงานเบื้องหลังใน Moana 2 ส่วนใหญ่แทบจะเป็นทีมใหม่หมดจดตั้งแต่ทีมกำกับและเขียนบทภาพยนตร์และเป็นบทภาพยนตร์นี่แหละที่เหมือนทำหัวใจของความเป็น โมอาน่า ดูจืดจางไปหน่อยเพราะหากเราย้อนกลับไปดูหนังภาคแรกเราจะพบหัวใจของเรื่องราวที่ผู้ชมเชื่อมโยงได้ทั้งการพิสูจน์ตัวเองต่อครอบครัวของโมอาน่า การเรียกคืนความเชื่อมั่นของมาวอิหรือกระทั่งมุกตลกที่หนังแวะเล่นรายทางก็เรียกเสียงหัวเราะให้ผู้ชมได้แบบไม่ขัดเขินทำให้สิ่งที่น่าเสียดายมากสำหรับบทภาพยนตร์คือการที่มันวางเรื่องราวหลักไว้เพียงภารกิจหรือเควสต์ของฮีโรที่โมอาน่าจะต้องไปปฏิบัติมันให้สำเร็จเพื่อรองรับฉากแอ็กชันอลังการและขายในสิ่งที่หนังดิสนีย์ขายได้คือความน่ารักของคาแรกเตอร์เจ้าหมูพัว หรือความกวนของเจ้าไก่ เฮย์เฮย์รวมถึงฉากแอ็กชันน่าตื่นตากับเจ้านักรบมะพร้าวตัวจิ๋วคากาโมราแต่กับคาแรกเตอร์ใหม่ๆทั้ง โมนี เคเล และ โลโท ยังรู้สึกว่ามีบทบาทกับเรื่องราวน้อยไปหน่อยแม้จะมีซีนดี ๆ ของ โลโท ที่คราวนี้โรส มาทาฟีโอ ได้โอกาสโชว์การแรปได้น่าประทับใจก็ตาม
นอกจากงานบทภาพยนตร์แล้วอีกส่วนที่รู้สึกได้เลยคืองานกำกับและตัดต่อของหนังที่ดูรวบรัดตัดตอนกว่าหนังภาคแรกราวกับเราดูหนังในสปีดซึ่งข้อดีคือหนังแทบจะไร้ความเอื่อยเฉื่อยและเดินเรื่องเร็วเข้าซีนน่าตื่นเต้นเร็วแต่อย่างที่บอกว่ามันก็ทำให้เสน่ห์ของดราม่าในหนังลดทอนลงไปซึ่งหนังภาคนี้พยายามพูดถึงการกล้าลองอะไรใหม่ๆแต่หนังก็ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้เราซึมซับสารที่มันต้องการจะสื่อได้มากพอเท่าไหร่ส่วนงานพากย์เสียงโดยภาพรวมสำหรับเสียงภาษาอังกฤษนักแสดงทั้งอัลลิ’อิ คราวัลโย่ กับ ดเวย์น จอห์นสันยังคงทำหน้าที่ได้ดีเช่นเดิมและเหมือนหนังให้แอร์ไทม์กับคาแรกเตอร์ มาวอิเยอะเป็นพิเศษเสียด้วยหนังภาคนี้เราเลยได้ยินเสียงจอห์นสันทั้งพากย์แบบขี้เล่นและร้องเพลงกันแบบจัดเต็ม ซึ่งแฟนของพี่หินเดอะร็อค คงถูกใจไม่น้อยเลยทีเดียวส่วนงานเพลงประกอบต้องยอมรับว่าเพลงในหนังแทบไม่มีเพลงติดหูสักเท่าไหร่และเพลงส่วนใหญ่ก็มีฟังก์ชันเพื่อเป็นเพลงคั่นเรื่องราวมากกว่าบอกความรู้สึกและช่วยในการเล่าเรื่องซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากทีมทำเพลงใหม่ที่ไร้เงาของลิน มานูเอล มิแรนดา ที่เคยแต่งเพลงให้หนังภาคแรกจนทำให้ภาพรวมของเพลงนำภาพยนตร์หรือ Original Song ในหนังเป็นเพลงที่ฟังผ่าน ๆ ประกอบหนังตอนดูเท่านั้น