รีวิวหนังเรื่อง Birds of Prey

รีวิวหนังเรื่อง Birds of Prey

อีกหนึ่งหนังที่ระเบิดความกล้าและแหกทุกกฎของจักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เราเคยรู้จัก มันไม่ใช่หนังรวมทีมแบบมีสูตรสำเร็จเหมือน Justice League หรือ Avengers แต่มันคือเสียงกรีดร้องของผู้หญิงบ้าคลั่งคนหนึ่งที่เพิ่ง “อกหัก” แล้วตัดสินใจประกาศอิสรภาพอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมลากคนดูไปท่องโลกอาชญากรรมของก็อทแธมในมุมที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนบ้าระห่ำ สีสันจัดจ้าน เละเทะในแบบที่ดูแล้ว…สะใจแบบประหลาด

หนังเปิดฉากด้วยการเล่าผ่านเสียงของ Harley Quinn (Margot Robbie) ที่เพิ่งเลิกรากับ Joker แบบไม่มีเยื่อใย เธอไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย แต่มาในแนวทำลายโรงงานเคมีที่เป็นสัญลักษณ์ของความรักนั้น และการกระทำนี้เองที่ส่งผลกระทบใหญ่หลวงเมื่อทุกคนในโลกใต้ดินของก็อทแธมรู้ว่า “ฮาร์ลีย์ไม่มีเจ้านายอีกต่อไป” ก็ไม่มีอะไรปกป้องเธอจากศัตรูทั้งหลายที่เคยยำเกรงชื่อ “Mr. J” อีกแล้ว

Harley กลายเป็นเป้าหมายของอาชญากรหลายกลุ่ม โดยเฉพาะ Roman Sionis หรือ Black Mask (Ewan McGregor) มาเฟียโรคจิตที่มีรสนิยมแปลกและความโหดเหี้ยมที่คาดเดาไม่ได้ เขาเป็นตัวร้ายที่ทั้งน่ากลัวและน่าขันในเวลาเดียวกัน ยิ่งพอจับคู่กับสมุนคู่ใจ Victor Zsasz ความวิปริตของทั้งคู่ก็พุ่งทะลุเพดานแบบไม่ต้องพึ่งพลังพิเศษอะไรเลย

เมื่อเหตุการณ์บานปลาย Harley จึงจำเป็นต้องรวมกลุ่มกับผู้หญิงอีก 4 คนที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ได้แก่ Renee Montoya ตำรวจหญิงผู้ยึดมั่นในศีลธรรม, Black Canary นักร้องสาวเสียงสั่นสะเทือนโลก, Huntress มือสังหารล้างแค้นที่มีอดีตปวดร้าว และ Cassandra Cain เด็กสาวขโมยกระเป๋า ที่กลายเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมด

สิ่งที่ทำให้ Birds of Prey โดดเด่นคือโทนของหนังที่ไม่พยายามเอาจริงเอาจังกับโลกซูเปอร์ฮีโร่ แต่เลือกที่จะเป็น การเล่าเรื่องแบบ ฮาร์ลีย์ควินน์ เต็มตัว ภาพที่ดูเหมือนหลุดจากการวาดของเด็กเกเร การตัดต่อที่ไม่เรียงเวลา และเสียงพากย์ในหัวของตัวละคร ทำให้หนังมีความเป็นการ์ตูนผู้ใหญ่ที่สด สนุก และมีสไตล์

Margot Robbie ยังคงเป็นหัวใจของหนัง เธอเป็น Harley Quinn ที่ไม่เหมือนใคร เธอไม่ใช่นางเอกผู้สูงส่ง หรือวายร้ายที่เลวร้ายแบบขาวดำ แต่เป็นหญิงสาวที่บอบช้ำ เก่งบ้างพลาดบ้าง เจ็บแล้วแสบกลับ และที่สำคัญคือ “เป็นตัวของตัวเองสุดขีด” หนังทั้งเรื่องแทบจะเป็นการเดินทางของเธอเพื่อหลุดพ้นจากเงาของ Joker อย่างแท้จริง

ด้านฉากแอ็กชัน หนังจัดหนักทั้งหมัด เท้า ค้อนไม้เบสบอล และระเบิดสีชมพู ทุกการต่อสู้มีลูกเล่น มีจังหวะที่แตกต่างจากหนังแอ็กชันชายเป็นหลักทั่วไป เห็นได้ชัดว่าทีมออกแบบ ฉากแอ็กชัน เน้นท่าแบบมวยผสม มวยปล้ำ และใช้อาวุธที่พลิกแพลง มีความ “บันเทิง” มากกว่าความ “โหด” แต่ก็ดิบพอจะทำให้คนดูเจ็บแทน

แม้หนังจะถูกขายในฐานะเรื่องของ Harley Quinn แต่สิ่งที่หนังมอบให้มากกว่านั้นคือพลังของ “ผู้หญิง” ที่ไม่ได้ต้องการการช่วยเหลือจากพระเอกคนใด แต่ลุกขึ้นมาแบกปืน ยิงคนร้าย ถ่มน้ำลายใส่ระบบ และเดินต่อไปด้วยตัวเอง มันมีความเป็น “เฟมินิสต์แสบๆ” ที่ไม่ได้เทศนา แต่แสดงให้เห็นผ่านการกระทำที่มันส์และกล้าหาญ