“Rumble in the Bronx” หรือชื่อไทย แรมโบ้พันธุ์เอเชีย คือหนังที่ส่ง เฉินหลง ให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการเปิดตัวในตลาดอเมริกาอย่างยิ่งใหญ่ หนังเรื่องนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของ หนังแอ็กชันสไตล์ฮ่องกง ที่เริ่มได้รับความนิยมไปทั่วโลก และเฉินหลงเองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือนักแสดงแอ็กชันที่ทั้งบ้าบิ่น จริงใจ และมีเสน่ห์อย่างที่หาตัวจับยาก
เรื่องราวของ Rumble in the Bronx เริ่มต้นขึ้นเมื่อ “เคียง” (รับบทโดยเฉินหลง) หนุ่มจากฮ่องกงเดินทางมายังนิวยอร์กเพื่อช่วยกิจการร้านขายของของลุงที่ย่านบรองซ์ แต่แล้วทุกอย่างก็พลิกผันเมื่อเขาต้องเข้าไปพัวพันกับแก๊งอันธพาลที่ควบคุมพื้นที่แถวนั้นอยู่ และในเวลาต่อมาก็ขยายไปสู่การเผชิญหน้ากับแก๊งมาเฟียระดับใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดอย่างลับๆ หนังพัฒนาโทนเรื่องจากการแกล้งกันของวัยรุ่นหัวถนน ไปสู่สงครามใต้ดินเต็มรูปแบบอย่างลื่นไหล
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของหนังแน่นอนว่าคือ “ฉากแอ็กชัน” ที่เฉินหลงทำเองทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดข้ามตึก เตะกลางอากาศ หรือใช้ของรอบตัวเป็นอาวุธแบบสุดครีเอทีฟ หนังเรื่องนี้ถ่ายทำจริงในนิวยอร์กและแวนคูเวอร์ บางฉากถึงขั้นใช้ชีวิตเสี่ยงตาย เช่น การกระโดดจากหลังคาตึกหนึ่งไปยังอีกตึกหนึ่งโดยไม่มีสลิง หรือขับเจ็ตสกีพุ่งเข้าไปในเรือกลางแม่น้ำ ฉากเหล่านี้ไม่เพียงแต่ตื่นเต้น แต่ยังเผยให้เห็นถึงความพยายามและความกล้าหาญที่แทบไม่มีนักแสดงแอ็กชันคนไหนกล้าทำได้เหมือนเฉินหลง

แต่สิ่งที่ทำให้ Rumble in the Bronx อยู่ในใจแฟนๆ ทั่วโลกไม่ใช่แค่ฉากบู๊เท่านั้น หากยังเป็น “เสน่ห์เฉพาะตัว” ของ เฉินหลง ที่ผสมผสานความขำขัน ความซื่อ ความจริงใจ และความเก่งกล้าเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว เขาไม่ใช่นักฆ่าหรือฮีโร่เหนือมนุษย์ แต่เป็นคนธรรมดาที่ต้องยืนหยัดเพื่อตัวเองและคนรอบข้าง ทุกครั้งที่เขาบาดเจ็บ เรารู้สึกได้ถึงความเจ็บนั้นจริงๆ ทุกครั้งที่เขาฝืนยิ้ม เรารู้สึกถึงความกล้าหาญของคนธรรมดาคนหนึ่ง
หนังเรื่องนี้ยังสะท้อนความขัดแย้งของโลกตะวันออกและตะวันตกในยุคนั้นได้อย่างน่าสนใจ ผ่านสายตาของคนเอเชียที่เดินทางมายังโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ความเหลื่อมล้ำ และการเอาตัวรอด หนังไม่ได้เน้นดราม่าหนักๆ แต่ก็แทรกประเด็นเหล่านี้ไว้อย่างแนบเนียนภายใต้เรื่องราวที่เดินเรื่องเร็วและเต็มไปด้วยฉากไล่ล่า
จังหวะการเล่าเรื่องค่อนข้างเร็ว ตรงไปตรงมา ไม่มีซับซ้อนเหมือนหนังอาชญากรรมยุคใหม่ แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ของหนังแอ็กชันยุค 90 ที่เล่าเรื่องชัด กระชับ และเน้นความบันเทิงเป็นหลัก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยพลังบวก บทสนทนาเรียบง่ายแต่ไม่เชย ดนตรีประกอบก็เร่งจังหวะได้เร้าใจสมกับยุค VHS อย่างแท้จริง
แม้บางฉากจะดูเก่าและมีความ “โซนเฉินหลง” อยู่บ้าง เช่น ความเว่อร์ในฉากต่อสู้หรือการขับรถสุดขีด แต่ทั้งหมดก็ถูกลบล้างด้วยการแสดงที่ทุ่มเทและความรู้สึก “จริงใจ” ที่หนังเรื่องนี้มีตั้งแต่ต้นจนจบ
คือหนังแอ็กชันที่ไม่เคยเชย เพราะมันคือบทพิสูจน์ว่าไม่ต้องมี CGI หรือซูเปอร์ฮีโร่บินได้ ก็สามารถทำให้คนดูทั้งโลกนั่งไม่ติดเก้าอี้ได้ด้วยเพียงแค่ความสามารถของนักแสดงคนเดียว นั่นคือ “เฉินหลง” และเขาไม่ได้แค่ต่อยคนร้ายให้ล้ม แต่เขากระแทกหัวใจคนดูให้หลงรักในทุกการเคลื่อนไหวของเขาด้วยเช่นกัน