หากคุณเคยมีความรักที่ต้องสู้เพื่อใครสักคน หากคุณเคยรู้สึกว่าโลกทั้งใบเปลี่ยนไปเพียงเพราะใครบางคนเดินเข้ามา และถ้าคุณเคยรู้สึกว่าเรื่องรักๆ มันช่างเหมือนกับการเล่นเกมบ้าๆ ที่มีบอสรออยู่ทุกด่าน Scott Pilgrim vs. the World คือหนังที่พูดแทนคุณทุกคน
หนังเล่าเรื่องของ “สก็อต พิลกริม” มือเบสวงร็อกอินดี้จากโตรอนโต หนุ่มเนิร์ดขี้อายที่ใช้ชีวิตไปวันๆ กับเพื่อนวงดนตรี เพื่อนร่วมแฟลต และแฟนเด็ก ม.ปลายที่ไม่มีใครคบ แต่ชีวิตเขากลับเปลี่ยนไปทันทีที่ได้พบกับ “ราโมน่า ฟลาวเวอร์ส” หญิงสาวผมสีสด ผู้ลึกลับ มีอดีตมากมาย และมาพร้อมกับ “เจ็ดอดีตคนรักสุดพิลึก” ที่เขาต้องต่อสู้เพื่อครองหัวใจเธอ
ใช่คุณอ่านไม่ผิด “ต่อสู้” จริงๆ ไม่ใช่แค่ในเชิงเปรียบเปรย แต่คือการสู้กันด้วยหมัด คาถา ดาบ พลังพิเศษ และดนตรี ในแบบที่เหมือนหลุดมาจากเกมอาร์เคดยุค 90 หรือการ์ตูนญี่ปุ่นปนอินดี้ร็อก โดยทั้งหมดเกิดขึ้นท่ามกลางกราฟิกสุดเฟี้ยว เสียงเอฟเฟกต์จากวิดีโอเกม 8-bit และมุขตลกเหนือจริงที่ระเบิดออกมาแทบทุกวินาที

สิ่งที่ทำให้ Scott Pilgrim ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ คือ “จังหวะ” ของหนัง Edgar Wright ผู้กำกับหัวครีเอทีฟสายบ้าพลังจาก Shaun of the Dead และ Hot Fuzz นำความเร็ว ความบ้าบิ่น และความเป็นแฟนบอยมาใส่ในทุกเฟรม หนังไม่ได้ใช้แค่ภาพและเสียงเล่าเรื่อง แต่ใช้กราฟิกการ์ตูน เสียง “POW!” “K.O.” และช่องคอมิกส์แบบวิบวับสอดแทรกลงมาในทุกช่วงชีวิตของตัวละคร ราวกับบอกว่าโลกของสก็อตนั้นถูกควบคุมโดยกฎของความรักผสมเกมมิ่ง
Michael Cera รับบทสก็อตได้อย่างลงตัวพอดิบพอดี เป็นตัวเอกที่ไม่ใช่ฮีโร่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอาใจช่วย เขาเป็นหนุ่มที่ไม่เก่งเรื่องการพูด ไม่เข้าใจผู้หญิง และพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในชีวิตหลายอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็พยายามทำสิ่งที่ถูกต้องในแบบของเขา แม้ว่าจะต้องโดนเตะ ต่อย หรือระเบิดตายกลางเวทีดนตรีก็ตาม ส่วน Mary Elizabeth Winstead ก็แสดงเป็นราโมน่าได้อย่างน่าค้นหา มีเสน่ห์และปิดบังความเปราะบางบางอย่างที่ทำให้เธอไม่ใช่แค่ “นางเอกปริศนา” ทั่วไป
ตัวละครประกอบในเรื่องก็เฟี้ยวและมีชีวิตสุดๆ ไม่ว่าจะเป็น “วอลเลซ” เพื่อนเกย์สุดแซ่บ “คิม” มือกลองหน้าเบื่อโลก “นีฟส์” แฟนเก่าที่ดูเหมือนไม่ยอมโต รวมไปถึง “เจ็ดแฟนเก่า” ที่ล้วนออกแบบมาราวกับหลุดมาจากเกมต่อสู้คนละจักรวาล ทั้งนักสู้วีแกน นักเต้นคู่แฝด ดีเจสายพลังจิต ไปจนถึงอดีตแฟนหญิงของราโมน่าเอง ทุกตัวละครเหมือนถูกคัดมาวางไว้บนโต๊ะเกม แล้วปล่อยให้ชนกันอย่างมันมือ
ด้านดนตรีก็ต้องพูดถึง หนังเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับเพลงมากจนเกือบจะเป็น “มิวสิคัลกึ่งเกม” ดนตรีร็อกหยาบๆ พลังแอมป์แตกๆ กลายเป็นทั้งตัวเร่งปฏิกิริยาและเครื่องมือในการต่อสู้ เพลงของวง Sex Bob-Omb ในหนัง (แต่งโดย Beck) ถูกใช้เป็นเสียงหัวใจของสก็อต และยังกลายเป็นหนึ่งในซาวด์แทร็กที่คนดูจดจำได้มากที่สุดในยุคนั้น
แต่แม้ภาพจะบ้าพลัง เพลงจะกระแทกหู และฉากแอ็กชันจะหลุดโลกแค่ไหน สิ่งที่ Scott Pilgrim vs. the World พูดจริงๆ กลับเป็นเรื่องง่ายๆ และจริงใจมาก การเติบโต การยอมรับอดีต การเผชิญหน้ากับความผิดพลาด และการเข้าใจว่ารักใครสักคน ไม่ได้หมายถึงการต่อสู้กับคนอื่นเสมอไป บางครั้งมันคือการยืนหยัดต่อหน้าตัวเอง และเลือกจะไม่หนีอีกต่อไป