รีวิวหนังเรื่อง Black Dynamite (2009)

รีวิวหนังเรื่อง Black Dynamite (2009)

Black Dynamite (2009) ไม่ใช่แค่ หนังแอ็กชันล้อเลียน แต่มันคือจดหมายรักฉบับเผ็ดร้อนที่ส่งถึงยุคหนัง Blaxploitation ของอเมริกาในช่วงทศวรรษ 70 โดยใช้ทั้งอารมณ์ขันสุดโต่ง สไตล์จัดจ้าน และการเล่าเรื่องที่จงใจเละเทะเพื่อความฮา หนังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของยุคดิสโก้ ทั้งแสงไฟ เสียงซาวด์แทร็ก เสื้อลายใหญ่ และคำพูดที่คมกริบเหมือนมีดโกน ทุกองค์ประกอบถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจให้ดูเชย เกินจริง และเฮฮาจนแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่

เรื่องราวติดตาม “Black Dynamite” พระเอกนักบู๊ผู้เพียบพร้อมทั้งฝีมือ ความกล้า และสไตล์ เขาเป็นอดีต CIA มือฉมัง นักรักผู้ช่ำชอง และเป็นคนเดียวที่ “ข้างถนนก็เกรงใจ ในวัดก็ยังหลีกทางให้” เมื่อพี่ชายของเขาถูกฆ่าโดยแก๊งค้ายาลึกลับ Black Dynamite จึงกลับมาปฏิบัติภารกิจอีกครั้งเพื่อกวาดล้างอาชญากรรมจากถนนของฮาร์เล็ม ไล่ตั้งแต่พ่อค้ายา ข้าราชการทุจริต ไปจนถึงแผนลับระดับชาติเกี่ยวกับ… น้ำมันเด็ก

ใช่แล้ว นี่คือหนังที่ไม่ได้ตั้งใจให้สมจริงแม้แต่นิดเดียว เพราะเป้าหมายของมันคือการล้อเลียนทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยปรากฏในหนังยุค Blaxploitation ไม่ว่าจะเป็นการแสดงโอเวอร์แอ็กติ้ง การตัดต่อผิดจังหวะ ซูมกล้องสุดเวอร์ เสียงเอฟเฟกต์หมัดที่เหมือนมาจากการ์ตูนยุค 60 ไปจนถึงการใช้ดนตรีประกอบที่ “โคตรจะตั้งใจให้เหมือนยุคนั้น” ทุกอย่างคือ “ของปลอมที่สมจริง” อย่างชาญฉลาด

Michael Jai White เป็นหัวใจของหนัง เขาไม่เพียงแสดงนำ แต่ยังร่วมเขียนบทด้วย ซึ่งทำให้ตัวละคร กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ระดับถนนที่ทั้งเท่และตลกในเวลาเดียวกัน เขาพูดทุกประโยคด้วยน้ำเสียงจริงจังเหมือนกำลังจะไปช่วยโลก ทั้งที่บางประโยคมันไร้สาระสุด ๆ เช่น “I threw that sh*t before I walked in the room!” หรือ “First Lady, I’m sorry I pimp-slapped you into that china cabinet.” และทุกคำพูดของเขาก็ถูกใส่ท่าทางเว่อร์วังที่เหมาะจะกลายเป็นมีมตลอดกาล

หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้หนังเรื่องนี้อยู่ในใจคอหนัง cult อย่างมั่นคง คือ “การล้อเลียนอย่างมีความรัก” ผู้สร้างไม่ได้เยาะเย้ยหนังยุคเก่า แต่กลับเข้าใจและเคารพโทนของหนังยุคนั้นอย่างแท้จริง

จึงทำให้มุกตลกทุกฉากไม่ใช่แค่ตลกผ่านๆ แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่แฟนหนังยุคนั้นจะ “ฮาแบบอิน” โดยเฉพาะการออกแบบฉากแอ็กชันที่จงใจใช้ตัวแสดงแทนแบบโป๊ะแตก การตัดต่อที่ผิดพลาดอย่างเห็นได้ชัด (และจงใจไม่แก้) หรือฉากบู๊ที่คู่ต่อสู้ร่วงลงพื้นก่อนจะโดนหมัดจริง ๆ

เนื้อเรื่องอาจดูบ้าบอและเต็มไปด้วยความเว่อร์เกินพิกัด แต่ถ้ามองลึกลงไป มันสะท้อนความรู้สึกของคนผิวดำยุคหนึ่งที่อยากเห็นฮีโร่เป็นตัวแทนของตนเอง Black Dynamite จึงกลายเป็นมากกว่าหนังล้อเลียน มันคือการ “เอาคืน” วัฒนธรรมป๊อปด้วยเสียงหัวเราะ และการหยิบมุกในอดีตมาทำให้คนยุคใหม่ได้เห็นว่าสื่อในอดีตมองกลุ่มคนอย่างไร