“22 Jump Street” คือภาคต่อของ หนังแอ็กชัน-คอมเมดี้ ที่ประสบความสำเร็จแบบเกินคาดในภาคแรก (21 Jump Street) และในภาคนี้ หนังกลับมาอีกครั้งพร้อมพลังที่มากขึ้น มุกตลกที่แรงกว่าเดิม และการล้อเลียนตัวเองอย่างบ้าคลั่งจนคนดูต้องทั้งฮาและทึ่งไปพร้อมกัน หากคุณคิดว่าหนังตำรวจสายลับแฝงตัวจะเป็นสูตรสำเร็จเดิม ๆ ที่เดาทางได้ง่าย… หนังเรื่องนี้พร้อมจะบอกคุณว่าคุณคิดผิด
เรื่องราวของคู่หูตำรวจสุดเพี้ยน ชมิดต์ Jonah Hill และ เจนโก้ Channing Tatum ถูกผลักภารกิจใหม่ให้ไปปลอมตัวเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเพื่อสืบหาต้นตอยาเสพติดชนิดใหม่ที่กำลังแพร่ระบาด หนังตั้งต้นด้วยความตั้งใจจะ “ทำเหมือนเดิม” เพราะภารกิจในภาคแรกประสบความสำเร็จ และนี่คือจุดที่หนังเริ่มล้อเลียนตัวเองอย่างเต็มที่ ตัวละครพูดออกมาตรงๆ ว่า “ก็แค่ทำเหมือนที่เคยทำอีกครั้ง” ซึ่งเป็นทั้งการเสียดสีวงการหนังภาคต่อ และเป็นการวางกรอบให้ผู้ชมรู้ว่านี่ไม่ใช่หนังตำรวจทั่วไป แต่คือหนังที่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร และเล่นกับความคาดหวังของคนดูได้อย่างสนุกสนาน

มุกตลกในเรื่องมีตั้งแต่มุกหยาบโลน มุกประชด มุกเหยียดแบบรู้เท่าทัน และมุกที่อิงบริบทวัฒนธรรมสมัยนิยมแบบชนิดที่ “ต้องอยู่ในยุคนั้นถึงจะเข้าใจ” หนังยังใส่ ฉากแอ็กชันไล่ล่า ที่โอเวอร์แบบจงใจ บู๊มันส์แต่ไม่เคยจริงจังจนน่าเบื่อ เหมือนผู้กำกับอยากให้คนดูนั่งฮาไปกับความไร้สาระมากกว่าจะเอาใจช่วยภารกิจใดเป็นพิเศษ และมันได้ผลอย่างน่าประหลาด
ความโดดเด่นของ 22 Jump Street อยู่ที่ “เคมีระหว่างตัวละคร” ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของหนังทั้งหมด ชมิดต์และเจนโก้มีพัฒนาการในฐานะเพื่อน และในบางช่วงหนังยังเล่นมุกเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองคือ “คู่รัก” ที่กำลังทะเลาะกันเพราะอีกฝ่ายเริ่มไปสนิทกับคนอื่น มุกเกย์ มุกหึงหวง มุกอกหัก all played straight but ridiculous เป็นอารมณ์ที่ทำให้คนดูทั้งขำและรู้สึกผูกพันไปพร้อมกัน
อีกหนึ่งตัวละครที่เด่นไม่แพ้กันคือ กัปตันดิ๊กสัน รับบทโดย Ice Cube ที่คราวนี้มีบทบาทมากขึ้นและขโมยซีนได้ทุกครั้งที่ปรากฏตัว โดยเฉพาะฉากในโรงอาหารที่กลายเป็น “ตำนาน” มาจนถึงวันนี้ เขาเป็นตัวแทนของความเกรี้ยวกราดแบบพ่อผู้ปกป้องลูกสาว กับความบ้าคลั่งในสถานการณ์ที่ไม่มีใครควบคุมได้
แม้หนังจะดูเหมือนล้อเลียนตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้วมันแอบซ่อนการพูดถึง “ตัวตน” และ “ความผูกพัน” ของมนุษย์ไว้อย่างแยบยล ความรัก-ความร้าว ความกลัวที่จะเติบโต หรือแม้แต่ความรู้สึกว่า “เราไม่เหมาะกับที่นี่แล้ว” ก็ถูกสื่อออกมาผ่านบทสนทนาบ้า ๆ และฉากแอ็กชันเว่อร์ ๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ช่วงท้ายของหนังนั้นกลายเป็นไฮไลต์อย่างแท้จริง เมื่อหนังล้อเลียนวงการหนังภาคต่อแบบจัดหนัก ด้วยมอนทาจที่พาไปเห็น Jump Street ตั้งแต่ภาค 23 ยันภาค 40 แบบรวดเร็ว (แต่ละเอียด) ทั้งไปฝึกตำรวจที่โรงเรียนแพทย์ โรงเรียนศิลปะ ไปอวกาศ ไปทำค่ายทหาร ฯลฯ ซึ่งแต่ละภาคที่ล้อเลียนกันนั้นแสดงให้เห็นว่าผู้สร้างรู้จัก genre ของตัวเองอย่างลึกซึ้ง และเลือกหัวเราะกับมันอย่างชาญฉลาด
22 Jump Street จึงไม่ใช่แค่หนังแอ็กชันคอมเมดี้ แต่คือหนังที่กล้าหัวเราะใส่ระบบของหนังภาคต่อ หนังตำรวจ หนังฮอลลีวูด หนังบัดดี้ และยังให้หัวใจคนดูกลับไปพร้อมมิตรภาพที่สวยงามของ “เพื่อนแท้” ที่อาจไม่ได้เข้าใจกันเสมอไป แต่จะอยู่ด้วยกันเสมอเมื่อถึงเวลาสำคัญ
ไม่ว่าจะมองในมุมความบันเทิง ความกวน หรือความสัมพันธ์ที่จริงใจ นี่คือหนึ่งในภาคต่อที่ “รู้ว่าตัวเองเป็นภาคต่อ” และทำให้มันออกมาดีอย่างไม่น่าเชื่อ