ถ้าหากว่า แอนิเมชั่น จากค่ายพิกซาร์เคยทำให้คุณฟีลกู้ดทั้งน้ำตามาแล้วหนังใหม่จากค่ายโซนี่เรื่องนี้ก็จะสามารถทำให้คุณซึ้งปนขำน้ำตาเล็ดได้เหมือนกันนี่คือ The Mitchells vs. the Machines ผลงานล่าสุดจากสตูดิโอโซนี่แอนิเมชั่นพิคเจอร์ส ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ที่ดูเผินๆ ก็แสนจะธรรมดาแต่เนื้อแท้ข้างในหนังนั้นได้กลับผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงและเซอร์ไพรส์คนดูไม่เบาเลยทีเดียวบ้านมิตเชลล์ปะทะจักรกลเดิมทีจะเป็นหนังเข้าฉายโรงหนังตามปกติวางคิวฉายเอาไว้ตั้งแต่ปลายปีก่อน แต่มาเจอพิษโควิด-19 เข้าไปทำให้ต้องเลื่อนฉายและตัดสินใจโยกไปฉายทางสตรีมมิ่งออนไลน์แทนในที่สุดพร้อมกับเปลี่ยนชื่อหนังใหม่ด้วย แต่ก่อนเคยชื่อว่า Connected แม้ว่าจะแอบเสียดายเบาๆ ที่ต้องมาฉายแค่จอเล็ก เพราะงานสร้างของหนังเรื่องนี้ก็ถือว่ามีไอเดียฉูดฉาดและแจ่มจรัสไม่เบาหากได้ขึ้นฉายจอใหญ่ด้วย
โดยหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของสมาชิกครอบครัวบ้านมิตเชลล์ ที่ประกอบด้วย พ่อแม่และลูกๆ 2 คน โดยลูกสาวคนโตกำลังจะย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยต่างเมืองแต่ความสัมพันธ์ของเธอกับพ่อนั้นไม่ค่อยลงร่องลงรอยกันสักเท่าไหร่ตามประสานช่องว่างระหว่างวัย และความห่างเหินที่เป็นเหมือนรอยร้าวที่เป็นแผลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ ริค ได้ตัดสินใจจัดโร้ดทริป ยกทั้งบ้านไปส่งลูกสาวไปเรียนต่อ แค่สถานการณ์ความอึมครึมในบ้านนี้ยังไม่หนักพอปรากฏว่าเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิด เมื่อเกิดเหตุระบบเอไอของยักษ์ใหญ่วงการเทคโนโลยีได้ก่อกบฎขึ้น ทำให้หุ่นยนต์ที่เพิ่งถูกพัฒนาใหม่ได้ออกโจมตีและเก็บกวาดมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เพื่อหวังจะขจัดให้กลายเป็นโลกที่ปราจากมนุษย์ งานนี้ก็เหลือแต่เพียงพวกมิตเชลล์กลุ่มเดียวเท่านั้นที่ยังหลบรอดได้ ความหวังของมวลมนุษยชาติจึงตกอยู่ที่ตระกูลที่ใครๆ ก็มองว่าพวกเขาเพี้ยน
คงต้องบอกเลยว่า The Mitchells vs. the Machines เป็นหนังที่ให้ผลลัพธ์ที่ผิดคาดเป็นอย่างมากเพราะคาดคิดว่าจะได้ดูหนังแอนิเมชั่นที่บันเทิงตลอดทั้ง 100 นาทีได้ขนาดนี้ หนังยังอัดแน่นมาด้วยประเด็นต่างๆ ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างหนักแน่นดี แม้ว่าภาพรวมจะเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จและไม่ได้สร้างความแปลกใหม่อะไรมากนักแต่ระหว่างรายทางของหนังกลับสามารถเรียกคะแนนความนิยมได้เป็นอย่างดีแน่นอนว่าประเด็นครอบครัวได้ถูกหยิบมาตั้งเป็นแกนหลักหนังเหมือนจะล้อเลียนพวกหนังดราม่าฟีลกู้ดสายใยครอบครัวแบบพิกซาร์มาหน่อยๆ แต่หนังเรื่องนี้กลับไม่ใช่สายดราม่าจ๋าแต่เป็นสายซึ้งเพี้ยนๆ มากกว่า มุกตลกและการเสียดสีสังคมในชีวิตประจำวันถูกหยิบมาใส่ได้อย่างลงตัวและถูกจังหวะ กลายเป็นหนังที่สร้างอารมณ์เอ็นจอยได้ค่อนข้างหลากหลายกำลังซึ้งกับสัมพันธ์พ่อลูกอยู่ดีๆ ก็ต้องน้ำตาร่วงทั้งอดขำไม่ได้
ในขณะเดียวกัน หนังก็ยังสอดแทรกประเด็นเสพติดเทคโนโลยีเข้ามาเสริม แอบเสียดสีในหลายๆ มุมของยุคสมัยที่ใครๆ ก็จ้องแต่จอมือถือได้อย่างดี กับโจทย์ที่ว่าหากวันหนึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้กลายมาเป็นภัยต่อตัวเองบ้างจะเป็นเช่นไร ซึ่งในส่วนนี้ก็ใส่ความบันเทิงเข้ามาได้เต็มๆ และรู้สึกว่าการเล่าเรื่องตลอดทางเป็นไปอย่างราบรื่น แทบไม่มีจุดสะดุด และคนดูก็รู้สึกบันเทิงไปกับตัวหนังได้เป็นอย่างดี นี่คือผลงานเรื่องแรกของผู้กำกับ “ไมเคิล เรียนดา” ที่เขายังทำหน้าที่เขียนบทหนังเองด้วย นับว่าเป็นการใส่ไอเดียและแนวคิดในหนังแอนิเมชั่นที่น่าสนใจไม่น้อย แม้ว่าโดยรวมจะเป็นสูตรสำเร็จ แต่ก็มีไอเดียของเขาหลายๆ อย่างที่ใส่เข้ามาได้สะดุดตาและกระตุ้นความน่าสนใจเป็นอย่างดี อีกทั้งยังออกแบบคาแรกเตอร์หลักๆ ได้เข้าขั้นเกือบจะสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว ได้ยินว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจากครอบครัวตัวเองนั่นแหละ