รีวิวหนังเรื่อง 21 Jump Street (2012)

รีวิวหนังเรื่อง 21 Jump Street (2012)

21 Jump Street (2012) คือการรีเมคจากซีรีส์ตำรวจในตำนานของยุค 80 ที่ครั้งหนึ่งเคยแจ้งเกิด Johnny Depp และนำมาปัดฝุ่นใหม่ในยุค 2010 ด้วยโทนที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นหนังคู่หูตำรวจที่ล้อเลียนตัวเองอย่างสนุกสุดขีดและเต็มไปด้วยพลังความขำแบบไม่ยั้ง สมดุลระหว่างแอ็กชันกับคอมเมดี้ถูกปรุงมาอย่างลงตัว และเหนือสิ่งอื่นใดคือ “เคมี” ที่เข้ากันอย่างเหลือเชื่อของ Jonah Hill และ Channing Tatum ที่พาหนังทั้งเรื่องทะยานไปด้วยเสียงหัวเราะและความฮาแบบไร้กรอบ

เรื่องราวเล่าถึงสองตำรวจหนุ่ม Schmidt (Jonah Hill) และ Jenko (Channing Tatum) ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันในโรงเรียนมัธยม แต่แทบจะอยู่คนละโลก คนหนึ่งคือเด็กเนิร์ดที่ไม่มีใครสนใจ อีกคนคือหนุ่มหล่อสายกีฬาสุดป๊อป พอเวลาผ่านไปทั้งคู่ก็มาเข้าร่วมเป็นตำรวจด้วยกันแบบงง ๆ และเมื่อภารกิจหนึ่งพลาด พวกเขาก็ถูกส่งไปเข้าโครงการลับ “21 Jump Street” ซึ่งเป็นโครงการที่ส่งตำรวจปลอมตัวเข้าไปในโรงเรียนมัธยมเพื่อสืบคดีเกี่ยวกับยาเสพติดในหมู่วัยรุ่น

หนังพาคนดูย้อนกลับไปสู่ชีวิตมัธยมที่เต็มไปด้วยความป่วนแต่คราวนี้เปลี่ยนมุมมองเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กมัธยม ทั้งคู่ต้องแกล้งเป็นนักเรียนอีกครั้งและพยายามเข้าไปสนิทกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่น่าสงสัย แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือโลกของโรงเรียนมัธยมในยุค 2010s เปลี่ยนไปจากสมัยพวกเขาเรียนอย่างสิ้นเชิง เด็กเนิร์ดกลายเป็นที่นิยม คนสายอีโค ใส่ใจสิ่งแวดล้อม กลายเป็นผู้นำเทรนด์ ส่วนพวกนักกีฬาหัวร้อนกลับกลายเป็นกลุ่มชายขอบ พวกเขาต้องปรับตัวใหม่หมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแฟชั่น ภาษา หรือแม้แต่การเข้าสังคม

แต่สิ่งที่ทำให้หนังสนุกเกินความคาดหมาย ไม่ใช่แค่พลอตลุยโรงเรียนที่ว่ากวนอยู่แล้ว แต่เป็นการที่หนังรู้ตัวเองว่า “มันกำลังรีเมคอะไรบางอย่าง” และใช้โอกาสนี้ในการแซะ ล้อ เล่น กับสูตรสำเร็จของหนังตำรวจ หนังไฮสคูล และแม้กระทั่ง “หน่วยลับปลอมตัว” แบบไม่ไว้หน้าอะไรเลย มุกตลกมากมายอ้างอิงทั้ง หนังแอ็กชันยุค 80 วัฒนธรรมป๊อป และคลิเช่ในหนังวัยรุ่นทุกยุค

Jonah Hill โดดเด่นในบทเนิร์ดจอมซวยที่กลายเป็นเด็กฮิตโดยไม่ตั้งใจ ส่วน Channing Tatum ก็สร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ด้วยทักษะคอมเมดี้ที่เหนือคาด เขาทั้งขำ ทั้งน่ารัก ทั้งกวน แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจากบทบาทสายบู๊หรือหล่อๆ ของเขา การแสดงของทั้งคู่ไม่ได้แค่ทำให้เราหัวเราะ แต่ยังทำให้เรารู้สึกว่าทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกันจริง ๆ ผ่านบทเรียนชีวิตที่ซ้อนอยู่ในความบ้าของภารกิจปลอมตัวครั้งนี้

ด้านฉากแอ็กชันก็ไม่น้อยหน้า แม้จะใส่ฮาเป็นหลัก แต่ฉากไล่ล่า ยิงปืน ระเบิด และคิวบู๊ก็ยังคงความตื่นเต้นแบบหนังตำรวจฮอลลีวูดไว้ได้ครบถ้วน เพิ่มเติมคือความป่วนแบบเกินพิกัด ที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดตรงไหนก่อน ระหว่างรถหรือความสัมพันธ์ของคู่หู

หนังจบด้วยเซอร์ไพรส์มากมายที่แอบเชื่อมโยงกับเวอร์ชันต้นฉบับ (รวมถึงแขกรับเชิญสุดพีค) และส่งสารที่น่ารักว่า “บางทีการได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง อาจเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีขึ้น” มันไม่ได้พยายามสอน แต่กลับทำให้เรายิ้มในความสัมพันธ์แบบพี่น้องของ Schmidt และ Jenko ที่พิสูจน์ว่าความต่างไม่ใช่กำแพง หากเรารู้จักฟัง เข้าใจ และสนับสนุนกัน

จึงไม่ใช่แค่หนังรีเมคที่ประสบความสำเร็จ แต่มันคือหนังคู่หูตำรวจที่สร้างตัวตนใหม่ของตัวเองขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ ฮาแบบฉลาด สนุกแบบมีหัวใจ และเต็มไปด้วยพลังที่ชวนดูซ้ำเสมอในวันที่อยากหัวเราะแบบสุดทาง