รีวิวหนัง Until Dawn ต้องรอดก่อนย่ำรุ่ง แพ็คเกจสำเร็จรูปการตายสยองวนลูปไปเรื่อย

หนังสยอง
หนังสยอง

ในยุคที่หนังจากวิดีโอเกมกำลังประสบความสำเร็จอย่างเรืองรอง สามารถลบล้างอาถรรพ์จากทศวรรษก่อนได้อย่างหมดจด ทำให้เราจะได้เห็นคอนเทนท์จากเกมดังๆ มาขึ้นจอกันอีกหลายชิ้นงาน และที่เพิ่งมาล่าสุดก็คือ ต้องรอดก่อนย่ำรุ่ง เกมแนวสยองชื่อดังจากเพลย์สเตชัน ที่ได้มาจับมือสร้างกับสตูดิโอหนังยักษ์ใหญ่ และยังได้ตัวพ่อนักสร้างหนังสยองมาคุมงานให้ด้วยภายหลังจากที่ เมลานี พี่สาวได้หายตัวไปอย่างลึกลับ โคลเวอร์และเพื่อน ๆ ได้เดินทางไปยังหุบเขาอันห่างไกลที่เธอหายตัวไปเพื่อค้นหาคำตอบ ขณะที่พวกเขาสำรวจศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ถูกทิ้งร้าง พวกเขากลับถูกตามล่าโดยฆาตกรสวมหน้ากาก และถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมทีละคน… แต่แล้วพวกเขาก็ลืมตาขึ้นมาและพบว่าตัวเองกลับมายังจุดเริ่มต้นของค่่ำคืนเดิมอีกครั้ง

สำหรับเวอร์ชันหนังใหญ่ครั้งนี้ได้ตัวพ่อเดวิดเอฟแซนด์เบิร์กผู้กำกับที่เคยแจ้งเกิดมาจากหนังสยองเรื่องดัง Lights Out และ Annabelle:Creation ได้หวนกลับมาสู่งานสร้างแนวถนัดของเขาอีกครั้งหลังจากที่หันไปทุ่มเทให้งานหนังซูเปอร์ฮีโร่จนค่อนข้างเจ็บตัวกลับมาเขาได้ใช้พรสวรรค์ในการรังสรรค์ความสยดสยองที่เต็มไปด้วยอรรถรสและไหวพริบที่เซอร์วิสแฟนๆได้อย่างถ่องแท้จากฝีมือการปั้นบทหนังของแกรี่ดัวร์เบอร์แมนจากหนัง It ทั้ง 2 ภาคและ The Nun ทั้งภาคกับแบลร์บัตเลอร์จากหนัง Polaroid ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นหนังที่อิงมาจากต้นฉบับของวิดีโอเกมแต่ได้ยินมาว่าใน Until Dawnฉบับนี้เป็นเสมือนการแตกยอดออกจากไทม์ไลน์เวอร์ชันเกมอีกครั้งหนึ่งเพราะเป็นเรื่องราวประมาณ9ปีให้หลังจากเส้นเรื่องในเกมนั่นเองที่ทำให้บทหนังเรื่องนี้ไม่ต่างกับการเขียนขึ้นมาใหม่เพื่อเตรียมไว้รองรับเกมภาคต่อไปด้วย

ในแง่องค์ประกอบงานสร้างนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฝีมือการสร้างสรรค์หนังสยองของเดวิดเอฟ แซนด์เบิร์กก็ยังไหลลื่นคล่องมือและคล่องตัวด้วยทักษะของเขาไปด้วยดีเขายังสามารถรับมือกับการสร้างสถานการณ์ชวนสยดสยองเซิร์ฟให้กับผู้ชมได้เต็มอิ่มตลอดทั้งเรื่องพร้อมกับสเกลหนังสยองที่ค่อนข้างใหญ่กว่าหนังทุนต่ำทั่วๆไปที่กลายเป็นส่วนที่ช่วยส่งเสริมรสมือของเขาให้ออกมาได้ถึงอารมณ์ด้วยแต่ทว่าในส่วนของการรังสรรค์เรื่องรางและสตอรี่หลักของเรื่องนี้อาจจะยังขาดความกลมกล่อมอยู่สักหน่อยเพราะสุดท้ายแล้วโครงเรื่องใน Until Dawn ก็แทบจะวนซ้ำๆ เดิมๆ อยู่กับโทนหนังสยองที่ผู้ชมน่าจะเคยบริโภคผ่านๆ ตากันมาแล้วบ้างไม่ต่างกับการยำรวมเอาหนังสยองดังๆ มาขย้ำขึ้นมาเป็นเรื่องใหม่ มีกลิ่นอายความเป็น Scream หรือ I Know What You Did Last Summer ที่ผนวกเข้ากับแก่นหนังวนลูปแบบ Happy Death Day แต่ก็คลุ้งไปกับรสชาติความหฤหรรษ์สไตล์เกมหน่อย ๆ แบบ Silent Hills หรือ Resident Evil

น้ำหนักที่ยังไม่ค่อยเพียงพอมานักในส่วนของบทหนัง ก็พลอยทำให้ล่องลอยไปมาอยู่ในบางจุด ยิ่งมาพร้อมกับจังหวะหนังวนลูปที่เต็มไปด้วยแนวคิดคาแรกเตอร์ที่ชวนขัดใจในพฤติกรรมที่หุนหันพลันแล่น ขาดสติชั่ววูบในบางช่วงขณะ ยิ่งเป็นฟีลที่ค่อนข้างจำเจไปสักนิดแต่ใดๆทั้งหมดก็คือแพ็คเกจสำเร็จรูปที่หนังพึงจะมี ให้บอกอย่างตรงไปตรงมาแล้ว นั้นก็ยังมีมุมที่ชวนให้ดูสนุกได้อยู่แต่เป็นความสนุกแบบเรื่อยๆเพลินๆไม่ได้มีอะไรปลุกเร้าใจได้มากนักฉากและเซ็ตติ้งต่าง ๆ ก็ถือว่า Until Dawnทำออกมาได้ดีใช้ได้ทีเดียวที่พล็อตมันจะวนๆ อยู่แบบนั้นแต่งานโปรดักชันดีไซน์ของเรื่องนี้ค่อนข้างใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่าใช้งบประมาณได้อย่างเต็มที่เป็นอีกหนึ่งจุดที่ผู้ชมน่าจะได้เพลินไปกับซีนต่าง ๆ อารมณ์เหมือนกับเวลาเล่นเกมไปในแต่ละด่านเต็มไปด้วยแวดล้อมที่น่าค้นหาและชวนวังเวงไม่น่าไหววางใจไปพร้อม ๆ กัน

ทีมนักแสดงในเรื่องนี้ถือว่าใช้บริการดาราดวงรุ่งรุ่นใหม่ตามสูตร ประกอบด้วย เอลลา รูบิน,ไมเคิล ซิมิโน, โอเดสซา เอไซออน, ยูจียอง และ เบลมอนต์ กาเมลิ ที่การแสดงของพวกเขาชั่วโมงบินยังค่อนข้างน้อยอยู่แต่อย่างน้อยๆ หนังเรื่องนี้เลือกใช้วิธีผนึกกำลัง..เราจะรอดมาใช้เป็นไม้เด็ดในส่วนของแอคติ้งพวกเขาทั้ง 5 คนจึงช่วยกันประคับประคองทิศทางการแสดงออกมาได้ค่อนข้างโฟลว์ด้วยดี ถึงแม้ว่าตัวบทต่างๆ อาจจะไม่ได้ส่งให้ไปถึงดวงดาวสักเท่าไหร่ก็ตามที

ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วต้องรอดก่อนย่ำรุ่งตามฉบับแนวคิดจากผู้ที่ไม่เคยรู้จักและมีประสบการณ์ใดๆ กับเวอร์ชันวิดีโอเกมมาก่อนเเละก็ต้องบอกว่าเป็นหนังสยองขวัญที่มีความตุ้งแช่อยู่เปราะปรายแต่ก็จะเปี่ยมไปด้วยจังหวะที่ดูได้เพลินๆ อันเป็นสูตรสำเร็จที่พึงมีที่หนังนำมาใช้ความสดใหม่อาจจะไม่ค่อยจะหาได้เท่าไหร่ การแสดงของทีมดาราดาวรุ่งก็ไม่ได้เลิศเลอมากนักแต่เเมื่อองค์ประกอบต่างๆถูกมาผสมกันเป็นรูปเป็นร่างด้วยฝีมือของตัวพ่อ หนังสยอง มาเอง ก็เพียงพอที่จะทำให้ Until Dawn ต้องรอดก่อนย่ำรุ่งเป็นความสยองแบบที่พอถูไถเอ็นจอยไปได้อยู่ในระดับที่ใช้ได้ ถึงหนังแทบจะไม่มีอะไรให้น่าจดจำใด ๆ เลยยังขาดตกบกพร่องในแง่การสร้างสตอรี่ที่แข็งแรงไปพอสมควร แต่ก็เอาเถอะนะ..มันก็ยังพอตอบโจทย์ความเป็นหนังสยองวนลูปได้ในระดับที่โอเคอยู่