บอกได้เลยว่า Wish พรมหัศจรรย์ น่าจะเป็นหนึ่งในหนังที่ค่อนข้างดึงดูดความสนใจมากๆ เรื่องหนึ่งในรอบปีนี้เพราะไม่ใช่แค่เป็นแอนิเมชั่นที่ออกมาฉลองครบ 100 ปีของดิสนีย์เท่านั้นหนังยังมีผู้กำกับหญิงชาวไทยเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ผลงานอันสุดแสนจะบรรเจิดครั้งนี้ แต่กลับรู้สึกว่าพอหนังใกล้จะออกฉาย..บรรยากาศช่างดูเบาบางไปเสียเหลือเกิน เพราะอะไรกัน…หรือว่าอาการหมดมุกที่ดิสนีย์กำลังเผชิญอยู่ พรมหัศจรรย์ เป็นเรื่องราวของ เด็กสาวนามว่า อาช่า เธอได้ทำการขอพรจากดวงดาว แต่ปรากฏว่าด้วยแรงอธิษฐานของเธอนั้นกลับสัมฤทธิ์ผลได้มากกว่าที่คาดเอาไว้ เมื่อดวงดาวได้จุติลงมายังโลกและร่วมผจญภัยกับเธอ และมันยังเป็นตัวกระตุ้นให้อาณาจักรต้องสั่นคลอนกับเบื้องลึกเบื้องหลังในตัวตนของ ราชาแม็กนิฟิโค ผู้หล่อเหลาไม่มีใครเทียบ
เอาแบบนี้..จะหาว่าใจร้ายเกินไปหน่อยเพราะเกริ่นมาแบบพร้อมด่าชำแหละหนังแบบสุดฤทธิ์ขนาดนี้แต่เมื่อได้สัมผัสกันแบบเต็มตาแล้วก็ต้องยอมรับแหละว่ามันค่อนข้างน่าผิดหวังไปหน่อยนี่คือค่ายหนังที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างความตื่นตาตื่นใจและร้องว้าวกับไอเดียสนุกๆ ของพวกเขามาก่อนแต่กลายเป็นว่าเมื่อมาถึงยุคปัจจุบันนี้ เสน่ห์และมนต์ขลังเหล่านั้นมันแทบจะจางหายไป และวนเวียนอยู่แต่การใช้อะไรเดิมๆ ในการร้อยเรียงขึ้นชื่อว่า วอลต์ ดิสนีย์ ที่เราเคยยกนิ้วให้กับการเป็นค่ายหนังที่เก่งในการเล่าเรื่องมาก ๆ มักสร้างเซอร์ไพรส์ในผลงานของพวกเขาเสมอๆ แต่กลายเป็นว่าในหนังที่ยังลุ่มๆดอนๆในวิธีการเล่าเรื่องอาจจะเพราะด้วยความที่ไม่มีอะไรสดใหม่ในหนังเลยลงสนามแบบเพลย์เซฟเป็นหลักแนวคิดของหนังก็ไม่ได้ชวนซื้อใจคนดูได้ถึงที่สุดอะไรขนาดนั้นจึงกลายเป็นว่าหนังมัวแต่เซอร์วิสกับการยัดใส่ลูกเล่นอีสเตอร์เอ้กของในค่ายตัวเองไปเสียอย่างนั้น
ถ้าหากว่าใครที่เป็นแฟนหนัง การ์ตูนดิสนีย์ ตัวยงคิดว่านี่น่าจะทำให้คุณเพลิดเพลินกับการเก็บตกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ถูกหยอดใส่เข้ามาเป็นกิมมิกในหนังตลอดทั้งเรื่องมันเป็นวันวานที่หวนคิดถึงเป็นการกระตุ้นต่อม nostalgia ที่ใคร ๆ ก็มักจะทำ แต่ทว่าถ้าไม่ใช่แฟนคลับหนังค่ายนี้นี่ก็คือหนังเพ้อๆ สูตรสำเร็จเดิม ที่ก็ไม่มีอะไรนอกจากฝ่ายธรรมะชนะอธรรมอะไรทำนองนั้นแค่นั้นเองทางด้านงานสร้างของ 2 ผู้กำกับคริส บัคกับฝน วีระสุนทรก็ถือว่าใช้ได้แต่ไม่ถึงกลับทำให้รู้สึกว้าวอะไร นับว่าเป็นอีกงานแอนิเมชั่นดิสนีย์ที่ค่อนข้างใส่ใจในรายละเอียดอยู่แต่ยังไม่สามารถขับเคลื่อนและสร้างความผูกพันใดที่ชวนจดจำกับคนดูกลายเป็นว่าที่คือหนังขนาดความยาว 90 นาทีนิดๆที่เมื่อเราดูจบแล้วก็จบเลยสามารถวางกองเอาไว้ตรงที่เดิมและไม่นำติดตามกลับไปตกผนึกใดๆ
เพราะข้อความของหนังแทบจะไม่มีอะไรที่ปัจเจก Wish พรมหัศจรรย์ อาจจะทำคะแนนได้ขึ้นเล็กน้อยจากบทเพลงต่างๆ ที่ประพันธ์ขึ้นมาใช้คลอและร้อยเรียงไปตลอดทั้งเรื่องแต่กลับรู้สึกว่าเพลงอันไพเราะและเนื้อหาที่ลึกซึ้งกินใจเหล่านี้ถูกนำจับมาใส่ในพื้นที่ที่ค่อนข้างผิดที่ผิดทางไปสักหน่อยกลายเป็นเพลงยังไม่สามารถปลุกเร้าและขับเคลื่อนอารมณ์ผู้ชมได้ดีเท่าที่ควรมีแค่เพียง ‘This Wish’ ที่น่าจะเป็นท่วงทำนองเดียวที่น่าไปขับขานไปได้กับหนังเรื่องนี้ส่วนงานให้เสียงพากย์ตัวละครต่างๆ ในเรื่องนี้ถือว่าใช้ได้เช่นกันถึงหลาย ๆ องค์ประกอบจะชวนทำให้เรารู้สึกไม่ได้หลงใหลอะไรแต่เสียงของ “อารีอานา เดโบซ” หรือ “คริส ไพน์” ก็มาช่วยเติมแต่งความยิ่งใหญ่รัชดาลัยได้มากขึ้น แม้ว่าออกมาโดยรวมแล้วก็ยังไม่ช่วยให้ พรมหัศจรรย์ จากความแห้งแล้งแห่งมนต์ขลังที่ขาดหายไปเลยก็ตามที
โดยสรุปนั้นคงจะต้องบอกว่าอาจจะยังไม่ถึงขั้นที่จะทำหน้าที่เป็นหนังครบรอบ 100 ปีของดิสนีย์ได้อย่างน่าประทับใจ มันเป็นหนังที่ค่อนข้างไร้รสชาติไปสักหน่อย ภาวะอาการหมดมุกยังคงรุมเร้าค่ายหนังแห่งนี้อยู่ต่อไป ซึ่งบัดนี้มันคืบคลานเข้ามากระทบกับแผนกหนังแอนิเมชั่นแล้ว ดูเหมือนจังหวะการเล่าเรื่องที่เป็นเสน่ห์ของหนังค่ายนี้ได้หายไปอย่างน่าเสียดาย ทดแทนมาด้วยความมหัศจรรย์ที่ไม่พลุ่งพล่านเหมือนแต่ก่อน มีแค่บทเพลงเท่านั้น..ที่คอยพยุงหนังเอาไว้อย่างเดียวดาย