อีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ตั้งคำถามกับสิ่งที่ดูเหมือนเรียบง่ายว่า “ถ้าตัวละครในโลกของวิดีโอเกมรู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในเกม…จะเกิดอะไรขึ้น?” หนังหยิบแนวคิดที่เคยเป็นแค่ฉากหลังของเรื่องอื่นๆ อย่าง โลกของ NPC มาขยายเป็นไอเดียหลัก แล้วพาเราไปสำรวจความหมายของการมีชีวิต การเลือก และความรักผ่านมุมมองของผู้ชายธรรมดาในโลกเสมือนจริงที่ไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย
กาย (Guy) คือชายหนุ่มแสนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในเมืองชื่อว่า Free City เมืองที่ทุกเช้าต้องทักทายเหมือนเดิม กินกาแฟแก้วเดิม และถูกปล้นธนาคารโดยผู้เล่นเกมที่โผล่มาทุกวันอย่างไม่ใส่ใจอะไร เพราะนั่นคือ “หน้าที่” ของเขา เขาเป็นเพียง “NPC” (Non-Playable Character) หรือพูดง่ายๆ คือ ตัวประกอบในเกมที่มีไว้ให้ฉากดูมีชีวิตเท่านั้นเอง แต่เมื่อวันหนึ่ง เขาได้พบกับ Molotov Girl หรือ Millie ตัวละครหญิงปริศนา เขาก็เริ่มตั้งคำถามกับโลกที่เขาอยู่ และเริ่มแหกกฎทุกอย่างเพื่อ “เลือก” ชีวิตของตัวเอง

ไอเดียของหนังอาจดูบ้าบอและแหวกแนวในตอนแรก แต่สิ่งที่ทำให้ไม่ใช่แค่หนังตลกอีกเรื่อง คือการที่มันสามารถผสมผสานแนวแอ็กชันไซไฟเข้ากับเรื่องราวโรแมนติก และปรัชญาเบาๆ เกี่ยวกับอัตลักษณ์และเสรีภาพได้อย่างลื่นไหล หนังไม่ได้พยายามอธิบายระบบโลกแบบ sci-fi ให้ยุ่งยาก แต่ใช้เสน่ห์และพลังของตัวละครเป็นแกนหลักในการเดินเรื่องแทน
Ryan Reynolds รับบทกายด้วยความน่ารัก อ่อนโยน และเปิ่นในแบบที่น่าหลงใหล ซึ่งแตกต่างจากบทแอ็กชันเถื่อนหรือปากจัดแบบ Deadpool โดยสิ้นเชิง เขาคือคนที่เต็มไปด้วยความหวัง แม้จะอยู่ในโลกที่ถูกเขียนมาให้ “ไม่มีวันเปลี่ยน” ส่วน Jodie Comer ก็สามารถแบกรับบทสาวนักพัฒนาเกมที่ทั้งเก่ง ฉลาด และเปี่ยมเสน่ห์ได้อย่างน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะอยู่ในบท Millie หรือตัวละครในเกมอย่าง Molotov Girl
การดำเนินเรื่อง เต็มไปด้วยจังหวะคอมเมดี้ที่แม่นยำ ฉากต่อสู้สุดสร้างสรรค์ที่หยิบความเป็นเกมออนไลน์มาล้อเลียนได้อย่างน่ารักและฉลาด เช่น การใช้ไอเทมแบบเกินจริง การรีสปอน การกระโดดถล่มเมือง หรือแม้แต่การใส่อาวุธจากจักรวาลอื่นๆ ที่แฟนวัฒนธรรมป๊อปจะต้องยิ้มตามแบบหยุดไม่อยู่
Taika Waititi มารับบทผู้ร้ายสุดกวนในแบบโอเวอร์แอ็กติ้ง เขาคือเจ้าของบริษัทเกมที่สร้าง Free City และพยายามกดทับการมีตัวตนของกายเพราะมันขัดขวางธุรกิจของเขา ตัวละครนี้อาจไม่ได้ลึกซึ้งแต่ก็ทำหน้าที่ได้ดีในการเป็นตัวแทนของ “อำนาจระบบ” ที่ไม่ต้องการให้ใครหลุดจากเส้นเรื่องที่เขียนไว้
แม้หนังจะเล่นสนุกกับแนวคิดเทคโนโลยีและวิดีโอเกม แต่แก่นจริงของ Free Guy กลับอบอุ่นและเป็นมนุษย์มาก มันพูดถึงสิทธิในการเลือกทางของตนเอง แม้จะเกิดมาในโลกที่ดูเหมือนถูกควบคุมทั้งหมด และพูดถึงความรักในรูปแบบที่จริงใจ ละเอียดอ่อน และสวยงาม
ฉากจบของหนังไม่ได้พยายามจะสร้างมหากาพย์หรือหักมุมแบบคาดไม่ถึง แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังดู “ชีวิตใหม่ที่เริ่มต้นได้ทุกวัน” เหมือนคนคนหนึ่งที่เคยเป็นแค่ตัวประกอบ แต่กลับเลือกจะมีความหมายขึ้นมาในแบบของตัวเอง
จึงไม่ใช่แค่ หนังแอ็กชันคอมเมดี้ สำหรับแฟนเกม แต่มันคือจดหมายรักถึงทุกคนที่เคยรู้สึกว่าโลกนี้ไม่เปิดโอกาสให้เราเลือกอะไรเลย หนังเรื่องนี้พูดอย่างอ่อนโยนว่า “คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เล่นหลักในโลกของใครก็ได้ แค่กล้าที่จะเป็นตัวเองในแบบที่คุณเชื่อ ก็เพียงพอแล้ว”
นี่คือหนังที่ดูแล้วอารมณ์ดี เต็มไปด้วยความสนุก ความสด และความรู้สึกดีที่หายากในหนังแนวนี้ มันทั้งฉลาด มีหัวใจ และมีความหวัง… เหมือนกายที่ไม่ยอมเป็นเพียงแค่ตัวประกอบอีกต่อไป.