รีวิวหนัง “Shadow Force ดับเบิลจารชน โคตรคนไร้เงา” ปฏิบัติการสู้กลับของผัวเมียมือสังหาร

Shadow Force ดับเบิลจารชน โคตรคนไร้เงา
Shadow Force ดับเบิลจารชน โคตรคนไร้เงา

กลับมาอีกครั้งของตัวพ่อนักสร้างนักบู๊ที่เคยวาดลวดลายได้แจ่มไม่เบาเมื่อทศวรรษ อย่าง โจ คาร์นาฮาน ที่เคยปังสุด ๆ จากหนังแอคชัน The A-Team หรือ Smokin’ Aces แต่ค่อนข้างเสียสูญไปหน่อยในผลงานช่วงหลังๆ มานี้ แต่ไม่ค่อยเป็นที่ต้อนรับของนักรีวิวนัก ปีนี้เขากลับมาอีกหนใน”Shadow Force ดับเบิลจารชนโคตรคนไร้เงาผลงานแนวถนัดมือของเขาที่ครั้งนี้ทำการใส่หัวใจความเป็นครอบครัวเข้าไปอย่างลึกซึ้งไอแซ็กและไคราห์สองสุดยอดสายลับสังกัดหน่วยรบพิเศษชาโดว์ฟอร์ซ องค์กรนักฆ่ามืออาชีพกับปฏิบัติการภารกิจลับที่โลกไม่เคยรู้เมื่อทั้งคู่คิดทำลายกฎเหล็กจากนักฆ่าจึงกลายเป็นเหยื่อล่าของคนทั้งองค์กร ทางรอดเดียวคืองัดทุกสกิลที่มีมาถอนรากถอนโคนโค่นทุกแผนการตามล่าขององค์กรพิฆาตนี้ให้สิ้นซาก

Shadow Force ก็ยังคงเป็นผลงานที่ โจ คาร์นาฮาน รับหน้าที่่กำกับและเขียนบทหนังที่เป็นการขัดเกลาปรับบทหนังต้นฉบับของลีอองชิลล์สที่คงจะต้องเรียนแจ้งให้ทราบอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นบทหนังที่ค่อนข้างเชยดีเต็มไปด้วยความคร่ำครึตลอดทั้งเรื่องซ้ำยังพาผู้ชมไปสำรวจห้วงต่างๆได้แบบไม่สุดสักทางเดียวเหมาะที่จะสร้างออกมาเป็นสเกลหนังสตรีมมิงจอเล็กมากกว่าระดับยิ่งใหญ่บนจอใหญ่ที่พลังของหนังไปถึงจุดนั้นได้อย่างกระเสือกกระสนตลอดระยะเวลาประมาณ 100 นาทีของ Shadow Force ที่แม้ว่าจะฉาบหน้าเป็นหนังแอคชัน แต่กลับคลุ้งไปด้วยประเด็นสายใยครอบครัวที่ค่อนข้างเด่นชัดกว่าความเป็นหนังบู๊ด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่หนังทำออกมาได้แค่ลักษณะหลวม ๆ เท่านั้น เนื่องจากแต่ละซีเควนท์และปริบทที่หนังหยอดใส่เข้ามานั้น ความเฉียบคมที่ยังไม่สามารถทำได้อย่างเข้าที่เข้าทาง และน้ำหนักยังล่องลอยมากไปหน่อย

ยิ่งมาพบกับวิธีการร้อยเรียงและเล่าเรื่องที่อารมณ์เหมือนเครื่องรถยนต์ติดๆ ดับๆ อยู่บ่อยครั้งเป็นการปูเรื่องปูทางและเข้าสู่เนื้อหา แต่ทว่าก็วนกลับมาปูเรื่องปูทางแล้วพากลับไปสู่เนื้อหาวนๆ ซ้ำๆ อยู่แบบนั้นตลอดทั้งเรื่องที่อาจจะไม่ใช่จุดด้อยที่เด่นชัดมากเท่าไหร่ของหนังเรื่องนี้แต่ก็เป็นรอยต่อที่ชวนสะดุดอารมณ์และเบรกมู้ดของหนังได้อย่างขัดใจสักหน่อยขณะที่องค์ประกอบงานสร้างของก็เป็นไปตามสูตรสำเร็จของหนังแอคชันแนวๆ นี้ที่สัมผัสได้ว่างานสร้างไม่ได้มีงบอย่างหนักหน่วงเท่าไหร่ ทั้งฉากและเซ็ตติ้งต่างๆ ก็เป็นการจัดวางแบบง่ายๆ ขณะที่การสร้างซีนบู๊ต่อสู้ต่างๆ ก็แทบจะตามบล็อกกิ้งที่จัดว่างเอาไว้แบบไม่ออกนอกลู่นอกทาง เป็นสูตรสำเร็จที่พึงมี แต่ก็แทบจะไร้ชีวิตชีวา เพราะแทบจะดึงอารมณ์ไม่ได้เลย

แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะได้ทีมนักแสดงชั้นนำมาร่วมทัพแบบจุใจแต่เพราะบทหนังที่อ่อนปวกเปียกไปหน่อยจึงไม่สามารถขับเสน่ห์ในตัวละครทุกๆ คาแรกเตอร์ออกมาได้เลยไม่ว่าจะเป็นคู่นักแสดงนำ “เคอร์รี วอชิงตัน” กับ “โอมาร์ ซี” ที่พวกเขารับมือกับบทบาทของตัวเองได้ค่อนข้างดีแต่มันยังค่อนข้างผิดที่ผิดทางไปอยู่หนังพยายามจะสร้างเคมีในฐานะคู่หูนักบู๊ให้พวกเขาที่พยายามเท่าไหร่ก็ยังไม่เกิดประสิทธิผลที่น่าพอใจนักท้ายที่สุดพวกเขาต่างคนก็ต่างมี แนวทางบู๊ เป็นของตัวเองอยู่ดีดาราเด็ก จาห์ลีล คามารากลับกลายเป็นดาวรุ่งที่แสดงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเป็นที่มีเสน่ห์ทางการแสดงมากที่สุดไปเสียอย่างนั้นแม้แต่ดาราเบอร์ใหญ่ๆ อย่างมาร์คสตรอง ดาวีน จอยแรนดอลฟ์ หรอื เมธ็อด แมน ก็ยังสู้อินเนอร์ของเด็กน้อยไม่ได้ ยิ่งมาเจอชาวแก๊งนักฆ่าแชโดว์ฟอร์สก็ยิ่งกุมขมับเข้าไปใหญ่เพราะสงสารนักแสดงที่ต้องมาสวมบทที่ปูทางเอาไวอย่างเท่ แต่ดันได้ซีนเป็นนักฆ่าที่ไร้ราศีใดๆ ในหนังอย่างไม่ให้ความสำคัญใดๆ เลย

โดยภาพรวมแล้ว Shadow Force ดับเบิลจารชน โคตรคนไร้เงาจัดได้ว่าเป็นหนังแอคชันพิมพ์นิยมที่อาจจะเป็นหนังป็อบคอร์นที่ดูได้เพลินๆ แต่กลับไม่มีอะไรที่น่าจดจำเลย หลายองค์ประกอบของหนังค่อนข้างตกยุคไปเสียแล้ว บทหนังที่อาจจะดำเนินไปตามสูตรแต่ยังค่อนข้างล่องลอยและเข้าความเฉียบคมในทุก ๆ มิติแม้แต่ในพาร์ทการแสดงที่ได้นักแสดงเบอร์ดี ๆ แต่บทไม่สามารถส่งพวกเขาไปในทางที่เหมาะเจาะได้ สุดท้ายจึงกลายออกมาเป็นหนังบู๊โทนเดิม ๆ ที่น่าจะเหมาะกับสร้างเป็นหนังจอเล็กมากกว่า