เพราะว่าเดี๋ยวนี้นาน ๆ ทีในวงการ หนังไทย จะได้เห็นผลงานที่สร้างอิงประวัติศาสตร์ หนังพีเรียดย้อนยุคเกี่ยวกับการเมืองการปกครองออกมาสักเรื่อง ต้องใช้เวลาอยู่หลายปีดีดัก เนื่องจากเป็นคอนเทนท์ที่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจในการสร้างโดยเฉพาะ ทำการบ้านในค้นคว้าให้หนักแน่น และกลวิธีที่ต้องใส่ใจไม่น้อยเพื่อผลงานที่ดี โชคดีที่ในศักราชนี้ได้มีโอกาสได้ดู พระร่วง มหาศึกสุโขทัย ที่นับว่าเป็นการกลับมาปลุกไฟหนังประวัติศาสตร์ชาติไทยให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
ศรีสัชนาลัย สุโขทัย ที่เคยรุ่งเรืองกลับต้องสั่นคลอนเมื่อ พ่อขุนศรีนาวนำถุม สิ้นลงทิ้งไว้เพียงสองพี่น้องผู้ต่างอุดมการณ์ในการปกครองอย่างสิ้นเชิง ซึ่งมิอาจรู้ว่าใครจะขึ้นครองบัลลังก์สืบต่อไป ระหว่าง พรญาผาเมือง ผู้เป็นดั่งนักรบ ยึดมั่นในอำนาจ มีความเด็ดขาดในการปกครอง และ ขุนบางกลางหาว ผู้รักความสงบ เชื่อมั่นในพลังของการปกครองแบบสันติวิธี เมื่ออุดมการณ์ที่แตกต่างได้ปลุกไฟแห่งความแตกแยกของสองพี่น้อง แต่ก็ถูกแทรกแซงด้วย ขอมสบาดโขลญลำพง ที่ฉวยโอกาสจากความแตกแยกนี้ สั่นคลอนการปกครองแผ่นดิน
แต่ก่อนอื่นใดเลย คงจะต้องเรียนแจ้งให้ทราบอย่างตรงไปตรงมาไว้ตอนนี้เป็นลำดับต้น ๆ ก็คือหากว่าคุณคาดหวังที่จะได้เสพย์หนังอิงประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยการเชือดเฉือนชิงชัยในบัลลังก์และการรบการสงคราม เราคิดว่า พระร่วง มหาศึกสุโขทัย เรื่องนี้อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ตรงนั้นได้สักเท่าไหร่ เพราะผลลัพธ์ที่ออกมาในหนังเรื่องนี้อาจจะไปในทิศทางงานศิลป์ที่ผสมผสานความวิจิตรบรรจงและศาสตร์การแสดงในลักษณะละครเวทีโรงใหญ่เสียมากกว่า
เพราะนี่คือผลงานล่าสุดของผู้กำกับชาติชาติเกษนัสที่เพิ่งจะได้เสียงชื่นชมไปจากหนังเรื่องก่อนอย่าง แมนสรวง ไปหมาด ๆ ซึ่งเขาก็ยังรับหน้าร่วมเขียนบทหนังและร่วมอำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ที่มาจากแพสชั่นในความหลงใหลเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โดยแท้ๆและนี่ก็คือการรังสรรค์งานที่เข้ากับสำนวนคลาสสิกอย่าง Put the Right Man on the Right Job at the Right Time อย่างถ่องแท้ ณ ศักราชนี้คงจะไม่มีใครสร้างสรรค์งานไทยโบราณได้ละเมียดเท่ากับเขาผู้นี้อีกแล้ว
อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่าพระร่วงมหาศึกสุโขทัยไม่ได้เชิงเป็นหนังเชิงประวัติศาสตร์การรบแบบแอคชันเดือดๆ อะไรทำนองนั้นแต่เป็นความจงใจในการหยอดงานศิลป์สอดแทรกเข้าไปในเรื่องราวตลอดทั้งเรื่องตัวหนังจึงเรียบเรียงออกมาในลักษณะมีเส้นเรื่องแบ่งออกเป็น 2 ยุคคนละเหตุการณ์เดียวกันอย่างละมุนละไมเนื่องจากหนังได้หยิบเอาพระราชนิพนธ์บทละพูดคำกลอนเรื่องพระร่วงในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 มาทำการตีความขึ้นจอใหญ่ในรูปแบบใหม่นั่นเอง
โดยเฉพาะความละเอียดในแบบมุมที่ไม่ค่อยได้เห็นในหนังไทยสักเท่าไหร่การแสดงอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจกับ 2 พระเอกหนุ่มที่ช่วยกันแบกรับได้ดีพระร่วงมหาศึกสุโขทัยเรื่องนี้อาจจะยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้านแต่ก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจและเปี่ยมไปด้วยแพสชั่นที่ทรงพลังในทุกๆ อณูในความพยายามนำเสนอออกมาในรูปแบบภาพยนตร์ต้นกำเนิดชาติไทยเท่าที่หลักฐานจะพึงมี