รีวิวหนังเรื่อง Shazam (2019)

รีวิวหนังเรื่อง Shazam (2019)

ซูเปอร์ฮีโร่สายแสบแห่งจักรวาล DC ที่กล้าฉีกทุกความเคร่งขรึมดาร์กหม่นแบบที่เราเคยเห็นจากฝั่งแบทแมนหรือซูเปอร์แมน หนังเรื่องนี้เปิดทางให้กับอารมณ์ขัน ความซน และพลังแบบเด็กชายในร่างผู้ใหญ่ ซึ่งกลายเป็นหัวใจของหนังที่ทั้งสนุก สดใส และเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าที่ใครหลายคนคาดไว้

เรื่องราวเริ่มต้นจาก “บิลลี่ แบทสัน” เด็กชายวัยรุ่นขี้เบื่อขี้โมโหที่เติบโตมาในระบบอุปถัมภ์ เขาเป็นเด็กฉลาดแต่ต่อต้านสังคมในบางมุม มีความฝังใจจากการพลัดพรากกับแม่ตั้งแต่ยังเล็ก และไม่เคยเชื่อในคำว่าครอบครัว แต่วันหนึ่งชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อได้รับพลังวิเศษจากพ่อมดโบราณชื่อ “Shazam” ให้สามารถเปลี่ยนร่างเป็น ซูเปอร์ฮีโร่ เต็มวัยได้เพียงแค่ตะโกนคำว่า “ชาแซม!”

จุดเด่นที่สุดของหนังคือการผสมผสานระหว่างจิตวิญญาณของเด็กวัย 14 ที่เพิ่งได้พลังระดับเทพ กับความน่าขำในความไม่รู้ว่าจะใช้พลังไปทางไหนดี ตัวละครของ Shazam (ร่างผู้ใหญ่) ที่แสดงโดย Zachary Levi นั้นเปี่ยมด้วยเสน่ห์และเล่นได้สุดทางเหมือนเด็กเล่นซูเปอร์ฮีโร่ในสวนหลังบ้าน แต่เมื่อถึงเวลาเอาจริง เขาก็สามารถเปลี่ยนมาเป็นฮีโร่ที่น่าเชื่อถือได้อย่างแนบเนียน

สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นไม่ใช่แค่เรื่องพลังหรือวายร้าย แต่คือธีมเรื่องครอบครัวที่ถูกสอดแทรกอย่างลึกซึ้ง พี่น้องจากบ้านอุปถัมภ์ของบิลลี่ไม่ใช่ตัวประกอบ แต่กลับกลายเป็นหัวใจของเรื่อง หนังสื่อสารว่า “ครอบครัวไม่จำเป็นต้องมาจากสายเลือด แต่คือคนที่เลือกจะรักและยืนเคียงข้างเรา” ในวันที่เราไม่มีใคร

มาร์ค สตรอง รับบทเป็น Dr. Sivana วายร้ายที่มีแบ็คกราวน์ชัดเจน เข้าใจได้ และน่าเห็นใจในบางมุม แม้ไม่ได้ซับซ้อนลึกเท่าวายร้ายระดับท็อปของจักรวาล DC แต่เขาก็มีบทบาทชัดเจนในการขับเคลื่อนพลังของพระเอกให้โตขึ้นจากเด็กเล่นเป็นฮีโร่…สู่การเป็นฮีโร่ที่แท้จริง

อีกหนึ่งเสน่ห์สำคัญของหนังคือมิตรภาพระหว่างบิลลี่กับ “เฟรดดี้” เด็กชายขาลากที่คลั่งซูเปอร์ฮีโร่และรู้เรื่องทุกคนในจักรวาล DC การที่เฟรดดี้ช่วยให้บิลลี่เข้าใจวิธีใช้พลัง ทั้งในทางเล่นและทางรับผิดชอบ กลายเป็นไดนามิกสนุกๆ ที่ทำให้หนังมีทั้งเสียงหัวเราะและช่วงเวลาประทับใจ

ในด้านงานภาพและแอ็กชัน Shazam ไม่เน้นความเวอร์หรือระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบ Justice League แต่กลับใช้ฉากต่อสู้ที่พอดี มีความแสบ ซน แต่ก็แอบเท่อยู่ในที เอฟเฟกต์ดีไซน์พลังดูสนุก และฉากไฟนอลบู๊กลางงานแฟร์ตอนกลางคืนก็ถือว่าทำออกมาได้มันส์พอตัว และมีความน่ารักแฝงอยู่โดยไม่ลดความตื่นเต้น

เหนือสิ่งอื่นใด หนังเรื่องนี้มีหัวใจ มันเล่าเรื่องของคนที่โดดเดี่ยวและไม่เชื่อในความรัก แต่เมื่อได้เรียนรู้ว่าการเป็นฮีโร่ไม่ใช่การมีพลังเหนือมนุษย์ แต่คือการเลือกจะยืนเคียงข้างใครบางคน มันก็กลายเป็นเรื่องเล่าที่ซื่อตรงและน่าประทับใจมาก

Shazam! จึงไม่ใช่แค่หนังเด็กหรือหนังตลก แต่มันคือบทพิสูจน์ว่า DC ก็สามารถ “เล่นสนุกได้อย่างจริงใจ” โดยไม่ต้องพึ่งความหม่น ความเครียด หรือโศกนาฏกรรม และถ้าคุณเคยเป็นเด็กที่เคยแอบฝันว่าอยากมีพลังวิเศษสักวัน หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณยิ้มเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่วันนั้นอีกครั้ง

Shazam! (2019) คือการปลุกพลังของ “เด็กในตัวผู้ใหญ่” ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง.