เป็นหนึ่งใน หนังยุค 80 ที่ไม่เคยเดินตามสูตรสำเร็จของภาพยนตร์โรแมนติกทั่วไป และนั่นแหละที่ทำให้มัน “ป่าเถื่อน” สมชื่อ และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อย่างน่าประหลาด หนังเริ่มต้นเหมือนคอมเมดี้รักเบา ๆ ระหว่างชายหนุ่มขี้เกรงใจผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย กับหญิงสาวสุดเปรี้ยวหัวขบถที่โผล่มาในชีวิตเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่แล้วเมื่อเรื่องดำเนินไป มันค่อย ๆ เปลี่ยนโทนจากความขบขันไปสู่ความลึกลับ และในที่สุดกลายเป็นระทึกขวัญอย่างเฉียบพลันแบบไม่ให้คนดูตั้งตัว
เรื่องเริ่มจาก Charles Driggs (Jeff Daniels) พนักงานการเงินในนิวยอร์ก ผู้ดูเรียบร้อยและมีชีวิตเป็นระเบียบ เขาบังเอิญพบกับ Lulu (Melanie Griffith) หญิงสาวผมดำสุดซ่าในชุดเสื้อผ้าลายจุด และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ไม่มีแผน ไม่มีจุดหมาย และไม่มีทางรู้ว่าจะจบลงอย่างไร Lulu พาชาร์ลส์ “หนี” ออกจากโลกปกติ ไปยังถนนเปิดที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด เซ็กซี่ แสบซ่า และเหนือสิ่งอื่นใดคือความเป็นอิสระแบบไร้กรอบ

แต่หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การ “ปลดปล่อย” คนขี้อายให้กลายเป็นคนกล้า เพราะมันค่อยๆ เผยให้เห็นว่า Lulu เองก็มีอดีตบางอย่างที่ตามหลอกหลอน และเมื่อ Ray Liotta ปรากฏตัวในบท Ray อดีตสามีจอมคลั่งของ Lulu เรื่องราวก็พลิกผันกลายเป็นหนังเขย่าขวัญแบบเต็มตัว การไล่ล่าที่มีเดิมพันไม่ใช่แค่ชีวิต แต่คืออิสรภาพและการยอมรับอดีตของทั้งสองตัวละคร
Jonathan Demme กำกับหนังเรื่องนี้ด้วยโทนที่ยากจะจับทาง เขาใช้ดนตรีนิวเวฟจากวง Talking Heads, The Feelies, และนักร้องอย่าง Laurie Anderson มาแต่งแต้มอารมณ์ให้หนังมีทั้งความขบถและเซอร์แบบเฉพาะตัว การเคลื่อนกล้องแบบลื่นไหล การตัดต่อแบบรีบเร่ง และสีสันที่สดแต่แอบแสบตา ทำให้ทุกเฟรมของหนังเหมือนฝันที่คลุมเครือและเย้ายวนอยู่ตลอดเวลา
Melanie Griffith ในบท Lulu คือความลึกลับที่น่าหลงใหล เธอไม่ใช่นางเอกที่คนดูเข้าใจได้ทันที แต่มีทั้งด้านหวาน ด้านบ้า และด้านเศร้าที่รวมอยู่ในคนคนเดียวได้อย่างแนบเนียน เธอเป็นตัวแทนของอิสระและความกล้า ในขณะที่ Jeff Daniels รับบทเป็นมนุษย์ธรรมดา ที่ใช้ชีวิตแบบหลบเลี่ยงปัญหา หนังทำให้เราเห็นว่าแม้แต่คนธรรมดาก็สามารถ “แตกต่าง” ได้ หากกล้าออกจากความคุ้นเคย
Ray Liotta ซึ่งเพิ่งแจ้งเกิดในบทนี้เป็นครั้งแรก คือส่วนผสมของเสน่ห์และความน่ากลัวในคนเดียว เขาไม่ใช่ตัวร้ายแบบแบน ๆ แต่คือเงามืดจากอดีตที่คนดูรู้สึกได้จริง ๆ ว่าอันตราย ฉากที่เขาเริ่มปรากฏตัวในเรื่องคือจุดเปลี่ยนของหนังโดยแท้จริง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป หนังจะพาคุณไปสู่เส้นทางที่ไม่สามารถคาดเดาได้อีกเลย
Something Wild คือหนังที่หากดูเพียงครึ่งเรื่องแรก คุณอาจคิดว่ามันคือโรแมนติกคอมเมดี้แปลก ๆ ที่น่ารักดี แต่เมื่อเดินทางต่อ คุณจะพบว่ามันคือบทสำรวจความเป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง การไถ่บาป และความกล้าที่จะเปลี่ยนตัวเอง การเดินทางระหว่าง Lulu และ Charles ไม่ใช่แค่จากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง แต่มันคือการเดินทางจากตัวตนเดิม ไปสู่การเป็นคนที่ยอมรับทั้งด้านมืดและด้านสว่างของตัวเอง
ในท้ายที่สุด หนังไม่ได้พาเราไปหาคำตอบว่า “ความรักคืออะไร” แต่กลับทิ้งเราไว้กับคำถามว่า “คนเราเปลี่ยนได้ไหม เมื่อปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากความกลัว?” และนั่นแหละ คือสิ่งที่ทำให้ Something Wild เป็นหนังที่ทั้งโลดโผน สนุก และสะเทือนใจในคราวเดียวกัน เป็นหนังที่ขึ้นชื่อว่า “คาดเดาไม่ได้” อย่างแท้จริง และยังคงเป็นหนึ่งในงานชิ้นโบแดงของยุค 80 ที่ยังไม่เคยจืดจาง