หนังที่เหมือนการระเบิดสีสัน ความบ้าคลั่ง และความบิดเบี้ยวที่ไม่ได้มีแค่เสียงระเบิดตู้มต้าม แต่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ขันดำมืดและความรู้สึกดิบจริงที่ไม่ค่อยได้เห็นใน หนังซูเปอร์ฮีโร่ ยุคปัจจุบัน James Gunn ผู้กำกับที่เคยปลุกชีวิตให้กับ Guardians of the Galaxy ของฝั่ง Marvel ได้รับไฟเขียวแบบไร้ขีดจำกัดจาก DC ให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ และผลลัพธ์ที่ได้คือหนังซูเปอร์ฮีโร่เรท R ที่ทั้งโหดทั้งฮา ในแบบที่โอบกอดความไร้สาระของคอมิกโดยไม่รู้สึกเขินอายแม้แต่นิดเดียว
เรื่องเริ่มต้นด้วยภารกิจบ้าๆ ของ Task Force X หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Suicide Squad กลุ่มวายร้ายตกอับที่ถูกดึงตัวจากคุก Belle Reve เพื่อไปทำภารกิจลับในเกาะ Corto Maltese ที่กำลังอยู่ภายใต้การปกครองของเผด็จการใหม่ พวกเขาต้องจัดการโปรเจกต์ลับที่ชื่อ Starfish ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอะไรที่มากกว่าแค่ชื่อสัตว์ทะเลธรรมดา หนังไม่ได้เสียเวลาปูเรื่องเยิ่นเย้อ แต่กระโจนใส่ความบ้าคลั่งตั้งแต่ฉากเปิด และไม่ยอมหยุดจนกระทั่งเครดิตสุดท้าย

ตัวละครในหนังมีทั้งหน้าเก่าและใหม่ผสมกันอย่างลงตัว Harley Quinn (Margot Robbie) ยังคงเปล่งประกายในบทที่เธอเกิดมาเพื่อเล่น ส่วน Bloodsport (Idris Elba) ถูกดึงมาเป็นตัวกลางของเรื่องในฐานะผู้นำทีมแบบไม่เต็มใจ Peacemaker (John Cena) คือความฮาในคราบความโหดที่พาคนดูหัวเราะไปกับความไร้เหตุผลของอุดมการณ์ “รักสันติ” แบบไม่เลือกวิธี
ส่วนตัวละครใหม่อย่าง Ratcatcher 2 (Daniela Melchior) และ King Shark (เสียงพากย์โดย Sylvester Stallone) กลับกลายเป็นหัวใจสำคัญของหนัง ที่ทั้งน่ารัก อบอุ่น และเศร้าในแบบที่ไม่คิดว่าจะได้เจอจากหนังที่มีคนโดนระเบิดเป็นชิ้นๆ ทุกห้านาที
จุดแข็งที่สุดของหนังเรื่องนี้คือการที่มันไม่พยายามเป็นอะไรที่มันไม่ใช่ James Gunn เข้าใจดีว่านี่คือหนังเกี่ยวกับวายร้ายที่ไม่มีอะไรจะเสีย เขาเลยปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตามธรรมชาติของมัน ความรุนแรงสุดขั้ว ฉากการตายที่คาดไม่ถึง การตัดสินใจแบบไร้เหตุผลของตัวละคร และความรู้สึกว่าทุกคนสามารถตายได้ตลอดเวลา ทำให้หนังมีพลังและไม่สามารถคาดเดาได้จริงๆ
งานภาพและการตัดต่อก็โดดเด่นไม่แพ้กัน หนังใช้โทนสีสดฉูดฉาด เน้นฉากต่อสู้ที่ออกแบบมาอย่างมีเอกลักษณ์ ตั้งแต่ฉากชิงตัว Harley Quinn ที่กลายเป็นงานศิลปะหลอนๆ ไปจนถึงฉากปิดท้ายที่ซ้อนอารมณ์ของตัวละครกับฉากแอ็กชันได้อย่างลงตัว เพลงประกอบก็เลือกมาได้โดนใจ กลายเป็นซาวด์แทร็กชีวิตชั่วขณะของวายร้ายกลุ่มนี้
แต่เหนือสิ่งอื่นใด The Suicide Squad คือหนังที่กล้าเล่าเรื่อง “คนไม่สมบูรณ์แบบ” ได้อย่างงดงาม มันเป็นเรื่องของพวกที่สังคมทอดทิ้ง คนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นขยะ และการที่พวกเขาได้โอกาสในการทำบางอย่างที่มีความหมาย แม้ว่าจะไม่ได้เปลี่ยนโลก แต่ก็คือการพิสูจน์ว่า “พวกเขาไม่ใช่ขยะ” เสมอไป
หนังเรื่องนี้ ไม่ได้ทำให้แค่หนังเรื่องนี้สนุกอย่างบ้าคลั่ง แต่เขาทำให้ The Suicide Squad กลายเป็นหนังที่มีหัวใจในที่ที่ไม่คาดคิด หนังไม่ได้บอกให้คุณรักเหล่าวายร้ายพวกนี้อย่างไม่มีเหตุผล แต่มันค่อยๆ พาคุณไปรู้จัก เข้าใจ และอาจจะเผลอเอาใจช่วยพวกเขาโดยไม่รู้ตัว
ท้ายที่สุด หนังเรื่องนี้ คือการระเบิดพลังครีเอทีฟอย่างเต็มรูปแบบ มันบ้า ฮา เศร้า ดิบ และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของหนังคอมิกอย่างแท้จริง เป็นหนังที่ไม่กลัวจะเล่าเรื่อง “ผิด” ในแบบที่มันควรจะเป็น และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้มันแตกต่างจากหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องไหนๆ ที่คุณเคยดูมา
ไม่ใช่แค่ภารกิจฆ่าตัวตายของวายร้ายกลุ่มหนึ่ง แต่มันคือหนังที่ทำให้คุณเข้าใจว่า “คนแปลกประหลาด” บางครั้งก็เป็นคนที่โลกนี้ขาดไม่ได้