ชื่อไทยที่หลายคนรู้จักกันในนาม วิ่งสู้ฟัด ภาค 3 คือหนึ่งในบทพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของ เฉินหลง (Jackie Chan) ในยุคที่เขายังขึ้นชื่อว่าเป็นราชานักบู๊แห่งฮ่องกง หนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่ภาคต่อธรรมดา แต่มันคือการต่อยอดความสำเร็จของซีรีส์ Police Story ที่ทั้งสองภาคแรกได้วางรากฐาน หนังแอ็กชันฮ่องกง สไตล์เฉินหลงไว้แน่นหนา และในภาค 3 นี้เขาตัดสินใจขยายขอบเขตขึ้นไปอีกระดับ ด้วยการยกกองไปถ่ายทำที่มาเลเซีย นำเสนอฉากบู๊ที่ใหญ่กว่า เสี่ยงกว่า และดุดันกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
เนื้อเรื่องยังคงตามติดชีวิตของ “เฉิน กา กุย” นายตำรวจที่ขึ้นชื่อเรื่องความบ้าระห่ำและการทำลายข้าวของมากกว่าทักษะการสืบสวน คราวนี้เขาได้รับภารกิจลับจากทางรัฐบาลจีน ให้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สาวจากแผ่นดินใหญ่ซึ่งรับบทโดย Michelle Yeoh เพื่อแทรกซึมเข้าไปในองค์กรค้ายาเสพติดข้ามชาติที่กำลังขยายอิทธิพลจากฮ่องกงไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สิ่งที่ทำให้ Supercop โดดเด่นเหนือหนังแอ็กชันฮ่องกงในยุคนั้นไม่ใช่แค่ฉากบู๊ระห่ำ แต่คือ “จิตวิญญาณ” ของหนัง การแสดงที่ไม่ใช่แค่การโชว์ลีลาการต่อสู้ แต่คือการเอาตัวรอดในสถานการณ์จริง เฉินหลงเลือกที่จะเสี่ยงชีวิตแสดงฉากผาดโผนด้วยตัวเองเช่นเคย ตั้งแต่การห้อยตัวจากเฮลิคอปเตอร์กลางอากาศ กระโดดจากหลังคารถไฟที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง หรือแม้แต่ฉากการต่อสู้บนรถบรรทุกที่พุ่งฝ่าท้องถนนมาเลเซียอย่างบ้าคลั่ง หนังไม่มี CGI หรือสลิงอำนวยความสะดวก ทุกอย่างเกิดจากฝีมือและความบ้าบิ่นที่แท้จริง
คู่หูของเขาในภาคนี้ Michelle Yeoh ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน นี่คือหนึ่งในบทบาทที่ทำให้เธอกลายเป็นนักบู๊หญิงแถวหน้าของเอเชีย ความแข็งแกร่ง คล่องแคล่ว และการแสดงฉากสตันต์ด้วยตัวเองโดยไม่ใช้ตัวแสดงแทน ทำให้ตัวละครของเธอไม่ได้เป็นแค่ “ตัวประกอบสาว” แต่เป็นนักสู้ที่ยืนหยัดเคียงข้างเฉินหลงอย่างทัดเทียม

โทนของหนังยังคงผสมผสานระหว่างแอ็กชันหนักหน่วงและอารมณ์ขันสไตล์เฉินหลง ที่ทำให้ทุกฉากตึงเครียดไม่ดูซีเรียสเกินไป หนังสามารถทำให้คนดูขำได้ในฉากไล่ล่าที่ตึงมือ หรือแม้แต่ฉากที่ตัวละครหลุดจากสถานการณ์อันตรายมาได้ด้วยความซุ่มซ่ามแบบเฉินหลง
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องยกย่องคือการถ่ายทำและตัดต่อที่ทำให้ฉากแอ็กชันดิบๆ ดูมีชีวิตชีวา การไล่ล่าผ่านตลาด ถนน และตึกรามบ้านช่องของกัวลาลัมเปอร์ถูกนำเสนอด้วยพลังงานที่เต็มเปี่ยม แทบไม่ปล่อยให้คนดูได้พักหายใจตั้งแต่ต้นจนจบ ฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่องที่เฉินหลงโหนจากเฮลิคอปเตอร์ท่ามกลางท้องฟ้าที่เปิดโล่ง และตกลงบนขบวนรถไฟ ก็คือหนึ่งในฉากที่กลายเป็นภาพจำตลอดกาลของแฟนหนังแอ็กชันทั่วโลก
ในยุคที่ฮอลลีวูดยังไม่เปิดรับเฉินหลงเต็มตัว หนังเรื่องนี้ คือบัตรเชิญที่ส่งเขาไปสู่สายตาของผู้ชมระดับนานาชาติ มันเป็นหนังที่ทั้งโลกเริ่มเห็นว่า หนังแอ็กชันฮ่องกงมีดีไม่แพ้หนังอเมริกัน และเฉินหลงก็ไม่ได้เป็นแค่ดาราตลก หรือสตันต์แมนที่เล่นบทแอ็กชันเก่งๆ แต่เขาคือศิลปินที่จริงจังกับการสร้างความบันเทิงในแบบที่ไม่มีใครเลียนแบบได้
แม้ว่าหนังจะมีโครงเรื่องแฝงสูตรสำเร็จอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจปลอมตัวเข้าแก๊งโจร หรือความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับนางเอกที่เริ่มจากความไม่ลงรอยไปสู่การยอมรับกัน แต่ทั้งหมดนี้กลับถูกขับเน้นด้วยการแสดงและฉากบู๊ที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ ทำให้มันดูสดใหม่และน่าติดตามในทุกวินาที
ไม่ใช่แค่หนังบู๊ธรรมดา แต่มันคือการประกาศศักดานักบู๊เอเชียที่ไปไกลกว่าขอบเขตประเทศต้นกำเนิด เป็นการจับมือระหว่างความสามารถเฉพาะตัวและจิตวิญญาณของการสร้างหนังที่จริงใจ เป็นพลังงานแบบดิบๆ ที่แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสามทศวรรษ ก็ยังทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ว่า นี่แหละ…ของจริง