รีวิวหนัง Tyler Perry’s Duplicity หลอกลวง สืบสวนปมคดีกลิ่นน้ำเน่า แต่หอมหวนกว่าที่คิดนะ

Tyler Perry's Duplicity
Tyler Perry's Duplicity

เขาก็ยังคงเป็นนักสร้างที่มีงานชุกชุมตลอดทั้งปีอย่างเสมอต้นเสมอปลายแม้ว่าโยกฐานการผลิตไปอยู่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิงแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังครองความไว้วางใจของผู้จัดเจ้าหลักๆได้เป็นอย่างดีสำหรับตัวพ่อหนังดรามาผิวสีไทเลอร์ เพอร์รีที่ประเดิมผลงานหนังเรื่องแรกในปี 2025 ของเขาด้วย Tyler Perry’s Duplicity มากับพล็อตแนวสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมคุกรุ่นที่แอบซ่อนปมปริศนาเอาไว้อย่างแยบยลด้วยกลิ่นน้ำเน่าที่ยังคลุ้งมาร์ลีย์ทนายความสาวยอดฝีมือประจำเมืองต้องเผชิญหน้ากับคดีที่ท้าทายในอาชีพของเธอเพราะเธอได้รับมอบหมายให้ดูแลการเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับการตายของร็อดนีย์สามีของเพื่อนสนิทของเธออย่างเฟลาที่ต้องจบชีวิตลงด้วยการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวรัวกระสุนใส่อย่างเข้าใจผิดโดยที่มีโทนีแฟนหนุ่มอดีตตำรวจที่ลาออกมาเป็นนักสืบเอกชน คอยช่วยเหลือสืบค้นหาความจริงแต่มันทำให้เธอดำดิ่งสู่เขาวงกตอันแสนสับสนที่เต็มไปด้วยบ่วงแห่งการทรยศหักหลังและการคำลวงหลอกที่แสนอันตราย

กลับกลายเป็นว่า หลอกลวง สามารถมอบผลลัพธ์ที่ออกมาดีกว่าที่เราคิดเอาไว้เสียอีกนี่น่าจะเป็นผลงานสร้างหนังที่ค่อนข้างลงตัวและมีจังหวะที่สนุกในทิศทางที่ดี ถือว่าดีกว่าหนังภายใต้งานกำกับของไทเลอร์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทุกเรื่องเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าเอกลักษณ์ความเป็นหนังน้ำเน่าคนผิวสีของเขายังชัดเจนอยู่เหมือนเคย แต่ทว่าการหยอดใส่ประเด็นอาชญากรรมและเสียดสีสังคมหน่อยๆ เข้าไปในเรื่องนี้ก็สามารถทำให้มีความน่าสนใจและกลมกล่อมยิ่งขึ้นตามสไตล์หนังของไทเลอร์ เพอร์รี ไม่ได้เป็นคอนเทนท์ที่ดูได้ยากอะไร เพราะหนังที่มาจากงานเขียนบทด้วยน้ำมือของเขาเองก็มักจะมาพร้อมกับโครงสร้างพล็อตหนังที่ง่ายๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน มักจะชี้นำชัดเจนว่าอะไรสีขาวอะไรสีดำแต่สำหรับนี้เขาได้เติมแต่งสีเทาๆ เข้าไปเพิ่มเติม พ่วงด้วยการเล่าเรื่องในจังหวะแบบหนังสืบสวนสอบสวนขั้นพื้นฐาน ที่้เป็นสูตรสำเร็จที่ยังใช้ได้เวิร์กอยู่กับหนังในปี 2025 อยู่เหมือนกัน

จึงกลายเป็นว่า Tyler Perry’s Duplicity เป็นหนังความยาว 100 นาทีนิดๆ ที่ดูได้เพลินกว่าที่คิด มีอรรถรสมากกว่าที่คาดเอาไว้ พร้อมกับปมปริศนาที่ถูกหยอดเอาไว้ให้คนดูคอยสอดส่องว่าอะไรที่ผิดปกติภายใต้เนื้อหาที่ไม่ได้ซับซ้อนมากนัก แต่เพราะว่าง่ายและย่อยง่ายในหนังของนักสร้างผู้นี้ก็น่าจะเป็นข้อดีที่ไม่ต้องให้ผู้ชมนอนตะแคง ดูหนัง อาจจะเสียเวลาปูพื้นปูพรมไปเสียนาน แล้วอยู่ๆ ก็มาม้วนเก็บพรมแบบรีบร้อนในบทสรุปที่ก็ต้องยอมรับว่าก็เป็นไคลแมกซ์ที่กระชับจับใจความได้ดีแม้ว่ามันจะยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบอะไรแต่อย่างน้อยๆ ก็เป็นหนังที่เชิญชวนคนดูให้ติดตามกับการไขปริศนาต่างๆ ไปพร้อมๆ กับตบหน้าใส่สังคมแบบเจ็บแสบด้วยการสอดแทรกประเด็นเหยียดผิวและความเหลื่อมล้ำที่ยังพบให้เห็นเป็นปัญหาอยู่ในสังคมของโลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบันที่ต้องทำให้บางฝ่ายสะอึกกับเสียงที่เปล่งออกมาดังๆ ของหนังเรื่องนี้