หนังแอ็กชัน ที่กลั่นมาจากแนวคิดคลาสสิก “ชายเดียวดาย ผู้ไม่เหลืออะไรให้เสียอีกต่อไป” แต่มันไม่ได้เป็นแค่หนังบู๊ล้างผลาญทั่วไป เพราะภายใต้ฉากแอ็กชันที่กระแทกตา หนังเล่าเรื่องการล้างแค้นที่มีชั้นเชิง ผ่านตัวละครที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกที่กำลังถูกเน่าเฟะด้วยอำนาจขององค์กรทุนนิยมและเทคโนโลยีสีเทา มันคืองานที่มีกลิ่นอายของทั้งหนังแอ็กชันสไตล์ยุค 80 ผสมกับบรรยากาศหม่นๆ แบบหนังระทึกขวัญสายสายสืบยุคใหม่
เรื่องราวเริ่มต้นจาก “อดัม เคลย์” Jason Statham ชายผู้เงียบขรึม อดีตเจ้าหน้าที่ในองค์กรลับที่เรียกตัวเองว่า “Beekeepers” หน่วยงานนอกระบบที่เคยมีหน้าที่ปราบปรามภัยคุกคามต่อโครงสร้างสังคมที่มองไม่เห็นในระดับประเทศ แต่วันนี้ เขาไม่ใช่ฮีโร่ในชุดสูทลับอีกต่อไป เขากลายมาเป็นแค่คนเลี้ยงผึ้งธรรมดาๆ ใช้ชีวิตอย่างสันโดษอยู่กับผึ้งของเขาและไร่นาเล็กๆ ริมเมือง
ทุกอย่างควรจะสงบเรียบง่ายจนกระทั่ง “เอลลี” หญิงชราเพื่อนบ้านที่เคลย์นับถือเหมือนแม่ ถูกหลอกลวงด้วยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ออนไลน์ สูญเสียเงินจนหมดตัว และจบชีวิตลงอย่างเศร้า นี่คือจุดชนวนที่จุดระเบิดบางอย่างในตัวเคลย์ เขาตัดสินใจกลับเข้าสู่โลกแห่งการล้างแค้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อเธอคนเดียว เขาจะกวาดล้างทั้งระบบที่อยู่เบื้องหลังแก๊งหลอกลวงนี้ให้สิ้นซาก

จากเหตุการณ์เล็กๆ ในหมู่บ้าน หนังค่อยๆ เปิดเผยเบื้องหลังว่าเครือข่ายหลอกลวงเหล่านี้โยงใยไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับชาติ มีผู้มีอำนาจระดับสูงเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ CEO ขี้โกง ไปจนถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่ฉ้อฉล เคลย์จึงต้องใช้ทักษะเก่าๆ ของเขาทั้งหมด ไล่ตามทีละคน ตัดทิ้งทีละเส้นใย เหมือนการเลี้ยงผึ้งที่ต้องกำจัดศัตรูตัวเล็กๆ ทีละน้อยเพื่อรักษาทั้งรังเอาไว้
Jason Statham รับบทอดีต Beekeeper ได้อย่างมีเสน่ห์ในแบบของเขา เงียบ นิ่ง แต่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ เขาไม่พยายามทำตัวให้ดูเหมือนฮีโร่ เขาคือชายที่แบกความเจ็บปวด ความผิดหวัง และภาระในอดีตเอาไว้เต็มบ่า ทุกฉากที่เขาเดินเข้าไปในดงศัตรูเหมือนการปล่อยเสือเข้าในเล้าไก่ ไม่มีการหว่านล้อม ไม่มีการอ้อมค้อม ทุกอย่างคือหมัด คือกระสุน และคือการเคลียร์ปัญหาแบบสายตรงไม่อ้อมโลก
สิ่งที่น่าชื่นชมคือการที่ผู้กำกับ David Ayer (End of Watch, Fury) ไม่ทำให้หนังจมหายไปกับแค่ฉากบู๊ล้างผลาญ แต่ใส่ความหม่น ความสกปรกของโลกแห่งทุนสีเทาเข้ามาได้อย่างน่าสนใจ เขาเล่าให้เห็นว่าในโลกที่เทคโนโลยีสร้างระบบหลอกลวงที่ซับซ้อน การต่อสู้เพื่อความถูกต้องบางครั้งต้องใช้ความรุนแรงแบบที่กฎหมายไม่อาจแตะต้องได้
ฉากแอ็กชันในหนังหนักแน่นและดิบสมจริง ไม่มีสโลว์โมชั่นฟุ้งฝัน ไม่มีการดีดตัวแบบซูเปอร์ฮีโร่ มีแต่ความเจ็บแสบของการต่อสู้ระยะประชิด ยิงสั้นๆ ตายจริง เจ็บจริง หนังเน้นการออกแบบฉากแอ็กชันที่กะทัดรัด และเชื่อมโยงกับอารมณ์ตัวละครในแต่ละช่วง บางฉากเคลย์เข้าทำลายศัตรูราวกับนักล่าในเงามืด บางฉากเขากระโจนใส่คู่ต่อสู้ตรงๆ แบบไม่มีถอย ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวละครนี้ไม่ใช่แค่ “คนแข็งแกร่ง” แต่คือ “คนที่ไม่มีอะไรจะเสีย”
ในแง่พล็อต The Beekeeper อาจไม่ใช่หนังที่มีจุดหักมุมซับซ้อน แต่มันไม่จำเป็นต้องมีเลยด้วยซ้ำ เพราะแก่นของหนังไม่ใช่การหลอกล่อคนดูให้เดาเนื้อเรื่อง แต่มันคือการปล่อยให้คนดูเดินทางไปกับเคลย์ มองเห็นความเจ็บของโลกนี้ผ่านสายตาของเขา และได้รู้ว่าในโลกที่คนดีถูกทำให้ดูไร้ค่า บางครั้ง…การทำสิ่งที่ผิดอย่างถูกจังหวะ อาจเป็นหนทางเดียวที่จะรักษาสิ่งที่เหลืออยู่ได้