การเดินทางท่ามกลางความโกลาหลของทะเลทรายที่ไร้ซึ่งความปรานี โลกที่ล่มสลายไปแล้วเหลือเพียงฝุ่น ทราย เครื่องจักร และความกระหายที่แทบกลืนกินจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน นี่ไม่ใช่หนังที่ตั้งใจจะพาคนดูไปยังที่ใดที่หนึ่งอย่างสงบ แต่มันเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยเสียงเครื่องยนต์คำราม ระเบิดที่แตกกระจายกลางฟ้า และสายลมอันกร้าวร้าวที่บาดลึกไปถึงกระดูก
เรื่องราวเริ่มต้นจากเด็กสาวคนหนึ่งที่ถูกพรากจากดินแดนบ้านเกิดอันเขียวชอุ่มซึ่งกลายเป็นเพียงความทรงจำในโลกที่ทรยศความหวัง เธอชื่อ “ฟิวริโอซา” เด็กสาวที่ถูกจับตัวไปโดยแก๊งโจรกลางทะเลทราย ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาลในวันที่ถูกฉีกออกจากอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ และโยนเข้าไปสู่โลกของไฟและฝุ่นโดยไร้ทางเลือก
การเติบโตของฟิวริโอซาไม่ใช่การเติบโตแบบที่เด็กคนหนึ่งควรได้รับ แต่เป็นการหล่อหลอมด้วยความรุนแรง ความแค้น และความอยู่รอด เธอเรียนรู้กฎของโลกที่ไร้กฎ ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรี และไม่มีที่ว่างสำหรับความอ่อนแอ ชีวิตกลายเป็นสงครามที่ไม่มีวันหยุดพัก ทุกการหายใจคือการดิ้นรน และทุกก้าวคือการลุกขึ้นสู้โดยไม่สนว่าเลือดเนื้อของตัวเองจะถูกฉีกขาดมากแค่ไหน
โลกของ Furiosa เต็มไปด้วยตัวละครที่เหมือนหลุดออกมาจากฝันร้าย ผู้คนที่แต่งกายด้วยเศษเหล็ก หนังสัตว์ และเครื่องประดับที่ทำจากซากอารยธรรมเก่า พวกเขาทั้งคลั่ง ทั้งบ้าคลั่ง และมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกดขี่และการทำลาย หนังไม่เสียเวลาอธิบายโลกนี้ แต่ปล่อยให้ผู้ชมสัมผัสมันด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมด กลิ่นควันฉุน เสียงล้อบดถนนทราย ความร้อนที่พุ่งออกมาจากผิวแผ่นดิน และเสียงกรีดร้องของเครื่องยนต์ที่สะท้อนก้องในอากาศร้อนระอุ

อันยา เทย์เลอร์-จอย รับบทเป็นฟิวริโอซาได้อย่างน่าประทับใจ เธอไม่ได้พูดมาก แต่ดวงตาของเธอเล่าเรื่องราวได้มากกว่าคำพูดเป็นร้อยพันคำ ความแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวละครของเธอไม่ได้มาจากการแสดงท่าทางโอ้อวด แต่จากน้ำเสียงนิ่งเย็น และการกระทำที่หนักแน่นดุดัน นี่คือฟิวริโอซาในวันที่ยังไม่กลายเป็นวีรสตรีในตำนาน แต่เป็นเด็กสาวที่โลกบังคับให้กลายเป็นนักรบ
การกำกับของ จอร์จ มิลเลอร์ ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย การสร้างโลกที่แปลกประหลาดแต่จับต้องได้ การออกแบบยานพาหนะสุดพิสดารที่ดูเหมือนกองทัพฝันร้ายเคลื่อนที่ และการไล่ล่าที่ถ่ายทำแบบ practical จริงจังจนแทบไม่ต้องพึ่งพา CGI ทั้งหมดทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลังถูกโยนเข้าไปกลางทะเลทรายจริง ๆ ที่ไม่มีที่ให้ซ่อน ไม่มีที่ให้พัก มีเพียงแค่พลังดิบของเครื่องยนต์และเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามในอก
ภาพยนตร์ ไม่ได้เล่าเรื่องด้วยบทสนทนายืดยาว แต่ใช้ภาพ เสียง และการเคลื่อนไหวเป็นภาษา ภาพของฟิวริโอซาที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากเด็กสาวตัวเล็กๆ เป็นนักรบผู้แข็งแกร่ง เป็นเส้นเรื่องที่ค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่หัวใจคนดูโดยไม่รู้ตัว และเมื่อถึงจุดที่เธอลุกขึ้นยืนต่อหน้าผู้ที่กดขี่เธอมาทั้งชีวิต หนังไม่ได้เพียงพาเราเห็นภาพของชัยชนะ แต่ทำให้เรารู้สึกถึงมัน รู้สึกถึงพลังที่อัดแน่นอยู่ในตัวเด็กสาวคนหนึ่งที่โลกพยายามจะทำลายแต่ไม่เคยทำสำเร็จ