รีวิวหนังเรื่อง Kingdom of the Planet of the Apes (2024)

รีวิวหนังเรื่อง Kingdom of the Planet of the Apes (2024)

Kingdom of the Planet of the Apes (2024) คือการสานต่อจักรวาลโลกวานรในยุคที่มนุษย์แทบสูญพันธุ์และเผ่าวานรก้าวขึ้นมาครองโลกอย่างแท้จริง เป็นหนังที่พาเรากลับสู่โลกหลังการล่มสลายของอารยธรรมมนุษย์หลายร้อยปีหลังการปกครองของซีซาร์ สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่แค่การได้เห็นวิวัฒนาการของวานรที่ชาญฉลาดขึ้นเป็นลำดับ แต่เป็นการได้เห็นโลกใบเดิมที่ถูกธรรมชาติกลืนกิน และเผ่าพันธุ์ที่เคยปกครองโลกอย่างมนุษย์ต้องถอยกลับไปใช้ชีวิตแบบดั้งเดิม เงียบงัน และไร้อำนาจ

เรื่องราวโฟกัสไปที่ “โนอา” วานรหนุ่มแห่งเผ่านกอินทรีที่เชื่อในชีวิตสงบสุข แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตเขาต้องพลิกผัน เมื่อเผ่าของเขาถูกกลุ่มวานรทรราชนำโดย พร็อกซิมัส ซีซาร์ โจมตี ทำลายบ้านเกิด และจับครอบครัวของเขาไป ด้วยความเจ็บปวดและต้องการกอบกู้เผ่าพันธุ์ โนอาจึงออกเดินทางไกล ผ่านซากปรักหักพังของโลกมนุษย์ และได้พบกับกลุ่มมนุษย์ที่ยังเหลือรอดอยู่ มนุษย์ในโลกนี้ไม่ใช่ผู้ปกครองอีกต่อไป แต่กลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้เงาของวานร

ภาพของโลกใน Kingdom of the Planet of the Apes เต็มไปด้วยซากอารยธรรมเก่าตึกถล่มพังหัก โครงสร้างผุพังกลางป่าไม้ที่โอบล้อม เป็นโลกที่สวยงามอย่างป่าเถื่อน เป็นความสวยแบบน่ากลัวที่ทำให้เรารู้สึกได้ว่ามนุษย์ไม่ได้อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อีกต่อไป การใช้ CGI ที่ละเอียดประณีตทำให้วานรดูมีชีวิตจริง ทั้งแววตา การเคลื่อนไหว และท่าทางที่ซับซ้อน

แก่นของเรื่องยังคงซื่อสัตย์ต่อธีมดั้งเดิมของแฟรนไชส์ นั่นคือการตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจ, การปกครอง, และการตีความคำว่า “อารยธรรม” ผ่านสายตาของเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง โนอาเองเป็นตัวแทนของการค้นหาความหมายของอิสรภาพ และการตั้งคำถามว่า “ถ้าสิ่งที่เราทำเพียงเลียนแบบสิ่งที่มนุษย์เคยทำ แล้วเราจะต่างจากพวกเขาตรงไหน?”

พลังของหนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ฉากต่อสู้หรือการไล่ล่าที่น่าตื่นเต้นเพียงอย่างเดียว แต่คือการสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนทางสังคมที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในหมู่วานร ความโลภ ความกลัว ความทะเยอทะยาน และการแตกแยกที่ยากจะหลีกเลี่ยง มันชวนให้คิดว่าบางทีไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ไหน เมื่อมีอำนาจในมือแล้ว ก็มักพ่ายแพ้ให้กับความอยากได้อยากมีแบบเดียวกัน

การแสดงของ Owen Teague ผู้ให้เสียงและการเคลื่อนไหวของโนอานั้นน่าประทับใจ เป็นตัวละครที่มีทั้งความแข็งแกร่งและความเปราะบางในเวลาเดียวกัน สะท้อนการเติบโตจากเด็กหนุ่มสู่ผู้นำอย่างไม่สมบูรณ์แบบ แต่เต็มไปด้วยความหวังและเจ็บปวด

เป็นหนังที่เดินเรื่องอย่างสุขุม ไม่รีบร้อน ไม่ระเบิดฉากบู๊พร่ำเพรื่อ แต่ค่อยๆ พาคนดูซึมซับความกว้างใหญ่ของโลกหลังการล่มสลาย และตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราเคยสร้างโลกนี้ขึ้นมายังไง และทำไมเราถึงสูญเสียมันไป มันไม่ใช่หนังสัตว์ป่าต่อสู้เพื่อความอยู่รอด แต่มันคือบทกวีแห่งการล่มสลายที่เศร้าเงียบ ทรงพลัง และน่าหวั่นเกรง

ในท้ายที่สุด แม้โลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ไม่ว่าจะวานรหรือมนุษย์ ต่างก็ต้องเลือกทางเดินของตัวเอง ว่าจะปกครองด้วยความกลัวหรือศรัทธา และคำตอบนั้น อาจไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่ยุคที่มนุษย์ยังยืนอยู่บนยอดพีระมิดแห่งอารยธรรม