รีวิวหนังเรื่อง Gladiator 2

รีวิวหนังเรื่อง Gladiator 2

Gladiator II เปรียบเสมือนการเปิดประตูย้อนคืนสู่จักรวรรดิโรมันอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อนำความทรงจำกลับมาเท่านั้น หากแต่เพื่อตอกย้ำว่าแม้สนามประลองจะเปลี่ยนไป แม้บุคคลที่ยืนอยู่กลางเวทีจะไม่ใช่แม็กซิมัสผู้กล้าคนเดิมอีกต่อไป แต่เสียงร้องของฝูงชน, กลิ่นเลือด, และเกียรติยศที่ต้องแลกด้วยชีวิต ยังคงเดือดพล่านไม่ต่างจากวันเก่า

ท่ามกลางฝุ่นผงและแสงแดดที่แผดเผา Lucius Verus ชายหนุ่มผู้แบกชื่อของตระกูลผู้สูงศักดิ์และอดีตอันพร่าเลือน เดินเข้าสู่โคลอสเซียมในฐานะทาสนักสู้ โดยไม่มีใครจดจำว่าเขาเคยเป็นอะไร หรือเคยรักใคร เขาไม่ได้ลงสนามเพื่อชื่อเสียง แต่เพื่อตามหาความหมายของอิสรภาพที่แท้จริง และซากเงาในอดีตที่ยังเฝ้าหลอกหลอน ไม่ใช่แค่ศัตรูตรงหน้า แต่คือความทรงจำของแม่, ของ Maximus, และของโรมที่เขาเคยรู้จัก

การเดินเรื่องของหนังไม่รีบร้อน หากแต่ค่อยๆ ลากคนดูให้จมลึกลงไปในสายตาอันเด็ดเดี่ยวของ Lucius ที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากความสิ้นหวัง เป็นแรงขับเคลื่อนแห่งศักดิ์ศรี Paul Mescal ถ่ายทอดพลังของตัวละครออกมาในจังหวะที่นิ่ง แต่แฝงไปด้วยความดุดันเฉียบคม คล้ายเปลวไฟที่ลุกเงียบๆ ใต้เถ้าถ่าน และพร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่างในสนาม

แต่สิ่งที่ผลักดันเรื่องราวให้ยิ่งทวีคมคือการปรากฏตัวของ Macrinus ชายผู้เป็นอดีตทาส ทว่าเต็มไปด้วยปัญญาและอำนาจในเงามืด เขาไม่ใช่นักสู้ แต่เขาควบคุมทุกสนามรบด้วยคำพูดและการวางหมาก Denzel Washington เล่นบทนี้ราวกับวาดพู่กันบนผ้าใบสีเลือด ทุกถ้อยคำของเขาทิ่มแทง และทุกการเคลื่อนไหวล้วนมีน้ำหนักของความแค้นที่สั่งสมมานาน

ฉากการประลองในสนามไม่ได้มาเพื่อความโหดร้ายแบบไร้เหตุผล แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อท้าทายศีลธรรมของผู้ชม เช่นเดียวกับการที่ Lucius ต้องสู้ไม่ใช่เพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่เพื่อรักษาความเป็นมนุษย์ของเขาเอาไว้ การปะทะกับแรด, ฝูงลิง, และอสูรกายที่ซ่อนอยู่ในคราบมนุษย์ ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของโลกที่ไม่ยอมให้ใครหลุดพ้นจากพันธนาการ

Paul Mescal plays Lucius in Gladiator II from Paramount Pictures.

โคลอสเซียมที่ถูกเนรมิตขึ้นใหม่ตระการตาไม่ต่างจากบทกวีแห่งเลือดและดิน มันเปล่งประกายด้วยเหงื่อของนักรบ เสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่มปานฟ้าถล่ม และการแสดงออกถึงอำนาจของจักรวรรดิที่ไม่มีใครเทียบ ทว่ายิ่งใหญ่เพียงใด มันกลับสะท้อนความเปล่าเปลี่ยวของมนุษย์ที่ไร้สิทธิ์ไร้เสียง

จึงไม่ได้เป็นเพียงหนังภาคต่อเพื่อหากำไรจากชื่อเสียงเก่า แต่มันเลือกจะยืนหยัดในแบบของตัวเอง บอกเล่าการดิ้นรนของผู้คนที่ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา แม้จะถูกทำให้ลืม แม้จะไม่มีใครจำได้ว่าพวกเขาเคยมีชีวิต… พวกเขาก็จะยังต่อสู้อยู่ในเงา จนกว่าเสียงร้องของหัวใจจะถูกได้ยิน แม้เพียงครั้งเดียว

และเมื่อเรื่องราวสิ้นสุดลง ม่านสนามปิดลง พร้อมเสียงฝีเท้าของ Lucius ที่ค่อยๆ เดินหายลับไปในแสงสุดท้ายของวัน เราจึงได้เข้าใจในที่สุดว่า วีรบุรุษไม่ได้ถูกจารึกด้วยดาบหรือโล่ หากแต่ด้วยเจตจำนงอันไม่เคยสั่นคลอน… แม้จะต้องยืนอยู่ท่ามกลางเสียงโห่ หรือท่ามกลางเงียบงันอันเดียวดายก็ตาม