รีวิวหนังเรื่อง Behind Enemy Lines (2001) แหกมฤตยูแดนข้าศึก

รีวิวหนังเรื่อง Behind Enemy Lines (2001) แหกมฤตยูแดนข้าศึก

“Behind Enemy Lines” หรือชื่อไทย “แหกมฤตยูแดนข้าศึก” คือภาพยนตร์สงครามที่ระเบิดความมันแบบไม่ยั้งตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงฉากสุดท้าย หนังเล่าเรื่องของนักบินรบสหรัฐฯ ที่เผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายในสมรภูมิที่ไม่ได้มีแค่กระสุน แต่เต็มไปด้วยการเมือง ความลวง และการเอาตัวรอดท่ามกลางดินแดนที่ไม่มีใครเป็นมิตร

ตัวเอกของเรื่องคือ ผู้หมวดคริส เบิร์นเน็ตต์ รับบทโดย Owen Wilson นักบินขับไล่จากกองทัพเรือที่ดูเหมือนจะเบื่อหน่ายกับภารกิจประจำวันในเขตห้ามบินเหนือบอสเนีย เขาคือทหารที่ไม่ได้ฝันถึงสงคราม เขาเป็นคนพูดตรงและไม่พยายามจะสร้างภาพว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ โลกทั้งใบกำลังจะเปลี่ยนเมื่อเครื่องบินของเขาถูกยิงตกลงในพื้นที่ของศัตรู และเขากลายเป็น “เป้าหมาย” ที่ต้องหนีเอาชีวิตรอดอย่างสิ้นหวัง

ทันทีที่ร่มชูชีพของเขาสัมผัสพื้น ความตายก็ตามมาแทบจะทันที เขาไม่ได้เพียงแค่ต้องหนีจากทหารฝ่ายตรงข้ามที่ตามล่า แต่ยังต้องเผชิญกับความโหดร้ายของสงครามกลางเมือง เสียงระเบิดในหมู่บ้าน เสียงร้องของผู้บริสุทธิ์ และศพที่เรียงรายคือสิ่งที่หนังไม่พยายามหลีกเลี่ยง หนังเลือกจะกระแทกความจริงใส่คนดูให้เห็นว่า “สงครามไม่ได้มีแต่ศัตรูและมิตร แต่มันมีประชาชนที่โดนลืมอยู่ตรงกลาง”

ระหว่างที่เบิร์นเน็ตต์หนีเอาชีวิตรอด เขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากชายผู้ไม่ใส่ใจ กลายเป็นผู้ที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรีของทหาร เขาสูญเสียเพื่อนร่วมภารกิจ เห็นคนตายต่อหน้าต่อตา และถูกทอดทิ้งจากการเมืองที่สั่งห้ามไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือโดยตรง หนังไม่ได้ขายแค่ฉากระเบิดตูมตาม แต่มันขับเน้น “สัญชาตญาณการเอาตัวรอด” อย่างเข้มข้น จนทำให้คนดูรู้สึกลุ้นทุกก้าวของการหลบหนี

ในอีกด้านหนึ่ง ตัวละครของ พลเรือเอกเรกการ์ต รับบทโดย Gene Hackman ผู้บังคับบัญชาฐานเรือที่ยึดมั่นในคำว่า “เราจะไม่ทิ้งคนของเราไว้ข้างหลัง” กลายเป็นอีกหนึ่งเส้นเรื่องที่ทรงพลัง เขาคือตัวแทนของ “ทหาร” ที่ไม่ยอมให้ระบบมาทำลายศรัทธาในคำสาบาน หนังทำให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างระบบทหาร การเมืองระหว่างประเทศ และมนุษยธรรมที่ไม่อาจถูกนิยามด้วยระเบียบข้อบังคับ

หนังใช้ภาพมุมกล้องที่เคลื่อนไหวรวดเร็วแบบ handheld พร้อมกับการตัดต่อแบบคลิป MTV ผสมกับภาพ slow motion ในฉากระเบิดหรือยิงปืน ทำให้บางช่วงอาจรู้สึก “สไตล์จัด” แต่ก็มากพอจะทำให้คนดูรู้สึกเหมือน “เข้าไปอยู่กลางสมรภูมิ” จริงๆ เสียงประกอบในฉากไล่ล่าผสานกับจังหวะตัดต่อที่เร่งเร้า ยิ่งเพิ่มความกดดันให้คนดูอยู่ในภาวะลุ้นระทึกตลอดเวลา

Behind Enemy Lines อาจไม่ใช่หนังสงครามที่มีมิติซับซ้อนทางอารมณ์เท่าหนังคลาสสิกอย่าง Saving Private Ryan หรือ Black Hawk Down แต่มันมีหัวใจของ หนังแอ็กชัน เอาตัวรอดที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา และเปี่ยมไปด้วยพลังของ “ชายธรรมดา” ที่ต้องกลายเป็นวีรบุรุษในวันที่ไม่มีใครยื่นมือมาช่วย

มันคือหนังที่ถามกับคนดูอย่างเงียบๆ ว่า “ถ้าวันหนึ่งคุณต้องอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีใครเข้าถึง ไม่มีคำสั่งจากเบื้องบน และไม่มีหลักประกันจากโลกใบนี้ คุณจะสู้ไหม เพื่อมีชีวิตรอด เพื่อศักดิ์ศรี หรือเพียงแค่… ไม่อยากตายอย่างไร้ค่า?” และแม้จะเป็นหนังที่ฉายมาเกิน 20 ปี มันก็ยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีวันหมดอายุ