คงจะต้องบอกตามตรงเลยว่าเพียงแค่ได้เห็นชื่อ “จูลีแอนน์ มัวร์” กับ “ซิดนีย์ สวีนีย์” ตระหง่านเป็น 2 นักแสดงนำในหนังเรื่องนี้ก็สามารถกระตุ้นความสนใจและดึงดูดให้อยากเปิดดูว่า Echo Valley เอคโค่ วัลเล่ย์ เรื่องนี้จะออกมาเป็นอย่างไร เพราะนี่คือ หนังดรามา ระทึกขวัญ ที่พัวพันเข้ากับพลังรักจากแม่ที่ให้กับลูก ที่บางครั้งมันก็ทรงพลังยิ่งใหญ่มากเกินกว่าที่จะตัดสินใจทำอะไรที่คาดไม่ถึง
พ็อตเนื้อเรื่อง Echo Valley
เคต แม่ม่ายสถานะแยกทางที่เพิ่งเผชิญหน้ากับ เหตุโศกนาฏกรรม ในชีวิตส่วนตัวมาล่าสุด เธอพยายามบริหารและจัดการกิจการโรงฝึกสอนขี่ม้าที่เป็นเจ้าของ ซึ่งตังอยู่ในพื้นที่ชนทบอันแสนเงียบสงบ พยายามทุกตัวให้ยุ่งเพื่อหลีกหนีความคิดหวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา กระทั่ง แคลร์ ลูกสาวของเธอได้โผล่หน้ากลับมาอยู่ที่บ้านอีกครั้งในสภาพต่างไปจากที่คุ้นเคย สัญชาตญาณความเป็นแม่ของเธอได้ถูกบีบบังคับให้กลับมาขับเคลื่อนอีกครั้ง
ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ “ไมเคิล เพียร์ซ” นักสร้างหนังหนุ่มชาวอังกฤษเจ้าของรางวัลบาฟต้าที่เคยแจ้งเกิดมาจากหนังฟอร์มเล็ก ๆ อย่าง Beast เมื่อปี 2017 กลับมาหนนี้ยังคงลีลาและสไตล์งานสร้างหนังระทึกขวัญลึกลับที่ไม่ได้ซับซ้อนมากนัก อันเป็นแนวถนัดของเขาอีกครั้ง การวางโครงสร้างของหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้เรียบง่ายและก็แฝงด้วยความทรงพลังในตัวเองเป็นอย่างดี ออกมาเป็นดรามาชวนระทึกที่มีกิมมิกในเชิงมิติแห่งอาชญากรรม

ลูกเล่นของหนังเรื่องนี้ละมุนละไมเต็มไปด้วยชั้นเชิงได้ดีเพราะฝีมือการรังสรรค์บทของ “แบรด อินเกลสบีย์” ที่เพิ่งไปสวยจากการเขียนบทซีรีส์ Mare of Easttown เมื่อไม่กี่ปีก่อน เขายังคงโดดเด่นด้วยการใส่ลูกเล่นแห่งมิติตัวละครได้อย่างมีพลัง สามารถสร้างมิติให้คาแรกเตอร์ต่าง ๆ ออกมาได้น่าสนใจ ดูจะซับซ้อนแต่กลับไม่ยากเกินจะเข้าใจได้ ถึงแม้ว่าวอลลุ่มของบทหนังจะค่อนข้างมีหลากหลายปมและทิศทางสักหน่อย แต่อย่างน้อย ๆ จังหวะของหนังก็ยังค่อนข้างชวนติดตามได้ดี
Echo Valley อาจจะเป็นหนังที่ท่วงท่าในการเล่าเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป ดำเนินไปอย่างช้า ๆ ที่ให้คนดูพยายามจับทิศทางของประเด็น แต่ทว่าบางทีก็ค่อนข้างช้าไป เพราะกว่าที่หนังจุดประกายไฟเข้าเรื่องเข้าราวได้ก็ปาไปเกือบจะครึ่งเรื่อง ซึ่งก็นับว่าเคราะห์ดีที่เมื่อไฟได้ปะทุขึ้นมาแล้ว ตัวหนังก็สามารถผูกร้อยเรียงเข้าสู่ประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างเต็มหมัดเต็มเหนี่ยว เป็นความซับซ้อนที่ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน นี่คืองานสร้างหนังอาชญากรรมที่งดงามเกือบจะสมบูรณ์ด้วยดี

ในรูปแบบงานสร้างของ Echo Valley อาจจะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นและแตกต่างไปจากหนังอาชญากรรมบ้านไร่ที่แฝงไปด้วยความ เขย่าขวัญ สไตล์ หนังอเมริกัน งานถ่ายภาพของ “เบนจามิน คราคัน” จาก The Substance ถ่ายทอดออกมาได้อย่างซื่อตรง และอย่างน้อย ๆ ก็รู้จังหวะของนักสร้างผู้นี้ดีเพราะเคยร่วมงานกันมาก่อน เช่นเดียวกับฝีมือการตัดต่อของ “มายา มาฟฟิโอลิ” ก็เรียบแต่โก้ พร้อมทั้งงานประพันธ์เพลงของ “เจด เคอร์เซล” ช่วยบิวท์อารมณ์หนังได้เป็นอย่างดี
และแน่นอนว่าไฮไลต์เด่นของเรื่องนี้คือการแสดง “จูลีแอนน์ มัวร์” ยังคงใช้คำว่า ‘แม่ก็คือแม่’ ได้เปลืองอยู่ต่อไป เพราะนี่คือหนังที่บทส่งเสริมเธอ และเธอก็ส่งเสริมบทได้ดี ไม่มีอะไรที่นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ผู้นี้ทำไม่ได้แล้ว ถึงมันจะไม่ใช่บทบาทที่แปลกใหม่หรือแตกต่างจากเรื่องก่อน ๆ ของเธอสักเท่าไหร่ แต่จูลีแอนน์ก็รับมือและถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างเปล่งปลั่ง และยืนหนึ่งแบกรับหนังทั้งเรื่องนี้เอาไว้ได้อย่างสบาย ๆ
พลอยทำให้สาวสุดฮอต “ซิดนีย์ สวีนีย์” มาเสริมเป็นแค่ตัวประกอบไปเลย เพราะโดนพลังของแม่จูลีแอนน์บดบังไปเกือบจะทั้งหมด แต่อย่างน้อย ๆ ทุกซีนที่มีซิดนีย์ปรากฏตัวออกมา ก็นับว่าช่วยผลักดันพลังให้กับนักแสดงหญิงทั้ง 2 คนเปล่งประกายได้ดี อีกยังเสริมด้วยทีมนักแสดงสมทบชั้นดี อย่าง “ดอมเนลล์ กลีสัน” หริอ “ฟิโอนา ชอว์” ที่มาช่วยเสริมแรงซัพพอร์ตในพาร์ททางการแสดงได้อย่างเติมเต็มหนังเรื่องนี้อีกทาง

ดังนั้นโดยสรุปแล้ว Echo Valley ที่เริ่มต้นอาจจะสโลว์เบิร์นด้วยท่วงท่าช้า ๆ เนื่อย ๆ แทบจะผละคนดูหนีจากไปอยู่แล้ว แต่เมื่อหนังจับแกนและเข้าสู่ประเด็นได้อย่างทรงตัวได้ ก็ไม่ต่างกับการเปลวไฟที่ค่อย ๆ โชติช่วงเจิดจรัสยิ่งขึ้นไปจนถึงการมอดไหม้เป็นจุลที่ปลายทาง ยิ่งได้พลังการแสดงของดาราระดับรางวัลออสการ์ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้อะไรต่าง ๆ ชวนชมมากยิ่งขึ้น และก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังค่อนข้างมีบทหนังที่แข็งแรงพอสมควร ในท้ายที่สุดจึงกลายออกมาเป็น หนังอาชญากรรม โยงใยสัมพันธ์แม่ลูกที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ แม้ว่าปมประเด็นจะใส่มาเยอะจนเก็บเกือบไม่หมดไปสักหน่อย