และนี่ก็คือแฟรนไชส์หนังแอนิเมชันที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาแล้วก็ยังคงปังอย่างต่อเนื่อง ทำได้ดีทั้งภาคหลักและภาคแยก แต่ในปี 2024 กลับมาอีกหนในภาคต่อภาคหลักในมิสเตอร์แสบร้ายเกินพิกัดที่ถือว่าเป็นเหมือนการสตาร์ทไตรภาคใหม่ของหนังชุดนี้อีกครั้งที่ยังพกความสนุกและความบันเทิงครบรสที่แสนจะซ้ำซากจำเจแต่กลับยังเพลินดีไม่แปรเปลี่ยน มิสเตอร์แสบ ร้ายเกินพิกัดโฟกัสที่ชีวิตของกรู และลูซี่และเหล่าลูกสาวของทั้งสอง มาร์โก้, อีดิธ และแอ็กเนสได้ต้อนรับสมาชิกใหม่อย่าง กรู จูเนียร์ จอมวุ่นที่จ้องป่วนคุณพ่อเข้าสู่ครอบครัว ในขณะที่ กรู ต้องเผชิญหน้ากับคู่ปรับผู้มีชื่อว่าแม็กซีม เลอ มาล และแฟนสาวสุดอันตรายอย่างวาเลนติน่าทำให้ครอบครัวมิสเตอร์แสบต้องหลบหนีจากการคุกคามของวายร้ายทั้งสองคนนี้
สำหรับในภาคนี้ได้คริส โรโนด์ผู้กำกับจากหนัง 2 ภาคแรกที่ทำเอาไว้ได้ดีกลับมารับช่วงงานที่ตัวเองสร้างเอาไว้อีกครั้ง และแน่นอนว่าการกลับมาของเขาก็ทำให้ตัวหนังไหลลื่นไปได้ด้วยดีทั้งลีลาและเสน่ห์ต่างๆได้รับการสานต่อจากมือสร้างที่เข้าใจและเข้าถึงจังหวะของหนังชุดนี้อย่างถ่องแท้พร้อมกับยังคงงัดเอาไฮไลต์และสิ่งที่ผู้ชมอยากจะเห็นกลับมาใช้เป็นแรงดึงดูดให้กับหนังเรื่องนี้ได้อย่างลงตัวภาคที่ 4 ได้ 2 นักเขียนงานคารมดีอย่างไมค์ไวต์กับเคน ดอริโอที่พวกเขาทั้งสองก็เพิ่งจะร่วมงานกันมาในแอนิเมชันเรื่องก่อนของสตูดิโอนี้อย่าง Migration ที่ฮิตเซอร์ไพรส์ไปเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วสำหรับไมค์เป็นนักเขียนที่เคยสร้างสรรค์หนังตลกดังๆมาหลายเรื่องเช่น Pitch Perfect 3 หรือซีรีส์ The White Lotus ขณะที่เคนก็เป็นมือเขียนจากหนัง ทั้ง 2 ภาคแรกที่กลับมารับหน้าที่ยิ่งใหญ่นี้อีกหน
ถ้าจะลงรายละเอียดในส่วนของพล็อตและบทหนัง Despicable Me 4 แล้วละก็คงจะต้องบอกว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย หนังยังคงมาพร้อมกับกิมมิกในอ่างเซฟโซนแบบเดิมๆ ที่ดันยังเป็นจังหวะที่ค่อนข้างมีปฏิกิริยาไปได้ด้วยดีกับตัวหนังและผู้ชม กลายออกมาเป็นหนังเรื่องใหม่ที่เต็มไปด้วยอรรถรสความบันเทิงและความสนุกแบบหาสาระอะไรไม่ค่อยจะได้ซ้ำยังมาพร้อมกับท่วงท่าลีลาเก่าๆที่มีทั้งประทับใจและรู้สึกเฉยๆปะปนกันไปแต่โดยรวม ๆ มันก็ยังเป็นสูตรจำเจที่ยังค่อนข้างเวิร์กในตัวเองอยู่ว่าถึงในแง่ความคิดสร้างสรรค์ ก็แอบสัมผัสได้เบาๆ ว่า Despicable Me ภาคนี้มีแนวคิดที่เริ่มตันอยู่เหมือนกันโดยเฉพาะแนวทางการจะปั้นวายร้ายตัวใหม่ๆ ที่มักจะเป็นสีสันให้กับหนังทุกภาคแต่ในภาคนี้อาจจะบอกได้ว่าวายร้ายคู่ต่อกรคนใหม่ของกรูนั้นค่อนข้างจะมีสเกลและทักษะที่อ่อนด้อยไปสักนิดวางปมต่างๆเอาไว้ได้อย่างเบาโหวง และน่าเสียดายที่หนังเทน้ำหนักให้กับพวกเขาได้ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นัก
แต่ก็เพราะว่าหนังหันไปเพิ่มน้ำหนักให้กับการสร้างครอบครัวของกรูแทน ปฏิเสธไม่ได้เลยภาคนี้ได้เติมเต็มกลายเป็นหนังครอบครัวมากยิ่งขึ้น แม้ว่าพล็อตมันออกจะเฉิ่ม ๆ เชยๆ ไปสักหน่อย แต่ก็ยังเป็นสูตรสำเร็จที่ง่ายๆ เบาๆ ย่อยง่ายไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ดูก็สามารถเข้าถึงกับจังหวะชีวิตการทำหน้าที่เป็นพ่อและแม่ รวมทั้งหน้าที่ของลูกๆ ซึ่งเส้นเรื่องตรงนี้ค่อนข้างเด่นชัดมากยิ่งขึ้นในภาคนี้ขณะที่ตัวละครขโมยซีนโดดเด่น อย่าง มินเนียน ก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมเหมือนเคย ซึ่งในภาคนี้พวกเขาก็ยังได้รับการเน้นให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นอีกระดับ ด้วยการขยับให้ซีนในฐานะฮีโรทดลอง ที่กลายเป็นว่านี่คือหนังภาคที่หยิกแกมหยอกและแอบแซวหนังดัง ๆ หลายเรื่องเอาไว้เป็นอีสเตอร์เอ้กที่ชวนให้คนดูเอ็นจอยไปด้วยดี
ทางด้านวอยซ์ทาเลนท์ก็ถือว่าทีมนักแสดงซุปตาร์ก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเช่นเคยสตีฟ คาร์เรลก็คือติดภาพเงาเสียงของกรูไปแบบสลัดไม่หลุดคริสเตน วิก, ปีแอร์ คอฟฟินหรือมิแรนดาคอสกรอฟยังทำหน้าที่ได้ดีตามมาตรฐานเพิ่มเติมด้วยเงาเสียงสมทบที่มาเสริมอย่างวิล ฟาร์เรล,โซเฟีย เวอการาและโจอี คิงที่พวกเขาก็รับหน้าที่ด้วยการใช้เสียงได้อย่างเป็นมืออาชีพถึงจะเสียดายที่ซีนของพวกเขาจะมีน้อยไปสักหน่อยดังนั้นโดยสรุปแล้ว Despicable Me 4 ก็ยังคงเป็นหนังเรือธงที่มีตัวชูโรงเป็นเจ้ามินเนียนที่ยังเต็มไปด้วยเสน่ห์เหมือนเคย ถึงหนังแทบจะไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยก็ตามแต่ก็ทำหน้าที่สร้างความขบขันและอรรถรสให้กับคนดูได้อย่างจริงใจเหมือนเคยนี่คือแฟรนไชส์หนังที่ยังคงมีศักยภาพสร้างไปต่อเรื่อยๆ เห็นว่ามีแผนสร้างยาวไปจนถึงปี 2114 แล้วเพราะผู้สร้างก็ยืนยันว่าตัวละครต่างๆในเรื่องนี้จะไม่มีการเติบโตขึ้นหรือแก่ขึ้นใดๆ ต่อให้สร้างออกมาเรื่อยๆ ถ้าคนดูยังไม่เอียนมุกจะยังไม่แป้กมันก็ยังคงบันเทิงได้ดีอยู่