รีวิวเกม Harvest Moon: One World

รีวิวเกม Harvest Moon: One World

Harvest Moon: One World เป็นอีกหนึ่งภาคที่พยายามจะยกระดับประสบการณ์ของเกมซีรีส์ทำฟาร์มอันโด่งดัง โดยการเปิดโลกให้กว้างขึ้นและเพิ่มความหลากหลายในฉากหลัง ผู้เล่นจะไม่ได้ยึดติดกับหมู่บ้านเล็กๆ แบบภาคก่อนๆ อีกต่อไป เพราะในเกมนี้คุณสามารถออกเดินทางข้ามภูมิภาคต่างๆ ได้อย่างอิสระ ตั้งแต่ชายฝั่งริมทะเลไปจนถึงทุ่งหิมะและทะเลทราย แต่ละพื้นที่มีวัตถุดิบเฉพาะตัว รวมถึงพืชพันธุ์และสัตว์ที่แตกต่างกัน จึงทำให้บรรยากาศการเล่นไม่ซ้ำซากจำเจเหมือนบางภาคที่ผ่านมา

หนึ่งในจุดเด่นของเกมคือการใช้ระบบ “Inventive Farming” หรือฟาร์มเคลื่อนที่ ซึ่งผู้เล่นสามารถย้ายฐานทำฟาร์มไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้ตามต้องการ ถือเป็นความแปลกใหม่ที่ช่วยให้การทำฟาร์มมีมิติยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสภาพแวดล้อมส่งผลต่อพืชที่ปลูก อย่างไรก็ตาม แม้ระบบจะดูน่าสนใจ แต่การดำเนินเรื่องและกลไกการเล่นกลับค่อนข้างเรียบง่ายและขาดความลึกซึ้ง เช่น ระบบปลูกพืชยังคงใช้สูตรเดิมๆ ไม่มีความท้าทายมากนัก และภารกิจในเกมก็มักจะวนอยู่กับการเก็บของหรือส่งของให้ตัวละครต่างๆ ซึ่งอาจทำให้แฟนเกมสายฮาร์ดคอร์รู้สึกว่าเกมนี้เบาเกินไป

นอกจากนี้ แม้ว่าเกมจะมีกราฟิกที่สดใสและตัวละครดูน่ารักตามแบบฉบับของซีรีส์ Harvest Moon แต่โมเดลและแอนิเมชันกลับดูแข็งและซ้ำซากเมื่อเทียบกับเกมแนวเดียวกันในยุคปัจจุบัน เช่น Stardew Valley หรือ Story of Seasons ซึ่งให้ความลื่นไหลและใส่ใจในรายละเอียดมากกว่า ดังนั้นสำหรับผู้เล่นที่คาดหวังประสบการณ์เกมฟาร์มที่ทันสมัย อาจรู้สึกว่า One World ยังตามหลังอยู่หลายช่วงตัว


ความพยายามในการปรับตัวสู่ยุคใหม่ แต่ยังคงวนเวียนอยู่กับสูตรเดิม

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ Harvest Moon: One World เป็นความพยายามของทีมพัฒนาในการนำซีรีส์อันเก่าแก่นี้เข้าสู่ยุคใหม่ ด้วยการออกแบบให้มีระบบเกมที่เปิดกว้างขึ้น ทั้งการเดินทางระหว่างเมือง ระบบเควสต์แบบ RPG และความสามารถในการเปลี่ยนสถานที่ทำฟาร์มได้อย่างยืดหยุ่น ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการปรับปรุงจากเสียงวิจารณ์ของแฟนๆ ที่รู้สึกว่าเกมภาคเก่าๆ ซ้ำซากเกินไป

ทว่าปัญหาสำคัญของเกมคือการขาดเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้แฟนๆ จดจำได้ ภาคคลาสสิกของ Harvest Moon มักจะมีเสน่ห์ในด้านความสัมพันธ์กับชาวบ้าน เนื้อเรื่องอบอุ่น และระบบการแต่งงานที่มีอารมณ์ร่วมสูง แต่ใน One World ความลึกของบทสนทนาและการพัฒนาความสัมพันธ์กลับตื้นเขิน ตัวละครรองหลายตัวถูกออกแบบให้เป็นเพียงตัวประกอบ มีบทพูดสั้นๆ ซ้ำๆ ทำให้การสร้างความผูกพันในเกมนี้ลดลงไปมาก

ระบบแต่งงานแม้จะยังคงมีให้เลือก แต่ไม่มีอีเวนต์พิเศษหรือพัฒนาการเชิงอารมณ์เหมือนในภาคก่อนๆ ส่งผลให้การแต่งงานกลายเป็นเพียง “ภารกิจที่ทำให้เสร็จ” มากกว่าจะเป็นจุดไคลแม็กซ์ของเกม ที่น่าเสียดายคือผู้เล่นที่เคยหลงรักความโรแมนติกและความเรียบง่ายของเกมดั้งเดิม อาจรู้สึกว่าเกมภาคนี้ห่างไกลจากอารมณ์แบบนั้นไปมาก

โดยรวมแล้วคือเกมที่เหมาะสำหรับผู้เล่นใหม่หรือเด็กๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นเล่นเกมแนวทำฟาร์ม เพราะมีเนื้อหาที่เบา เล่นง่าย และไม่ซับซ้อนมาก แต่สำหรับแฟนเก่าที่เติบโตมากับภาคในตำนาน เกมนี้อาจยังไม่ตอบโจทย์ในด้านอารมณ์ ความลึก และเอกลักษณ์ที่เคยมีในอดีต ถึงแม้โลกในเกมจะกว้างขึ้น แต่อารมณ์ที่เคยแน่นแฟ้นกลับกระจัดกระจายไปกับเส้นทางแห่ง “One World” ที่ยังไม่ลงตัว