Bad Boys for Life คือการคืนชีพของหนังคู่หูสายบู๊ในตำนานที่ห่างหายจากจอไปนานกว่า 17 ปี กลับมาอีกครั้งในภาคที่ 3 พร้อมความมันที่โตขึ้น ดุดันขึ้น และแฝงความขมขื่นบางอย่างเกี่ยวกับอายุและการเปลี่ยนผ่านของชีวิต
ตัวหนังยังคงเล่าเรื่องผ่าน “ไมค์ โลว์รี” Will Smith นายตำรวจสายเท่สุดโหด กับ “มาร์คัส เบอร์เน็ตต์” Martin Lawrence คู่หูสายชิลที่เริ่มอยากวางมือจากวงการ ทั้งคู่ยังคงรักกัน หยอกกัน ทะเลาะกัน และวิ่งเข้าหากระสุนด้วยกันเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ต่างไปคือ “เวลา”
เรื่องราวเริ่มต้นจากเหตุการณ์โจมตีอย่างไม่คาดคิด เมื่อไมค์ถูกลอบยิงจนเกือบตายโดยมือสังหารลึกลับที่ชื่อ Armando ซึ่งเกี่ยวพันกับอดีตที่เขาไม่เคยเปิดเผย หนังปูพื้นให้เห็นว่าการแก้แค้นครั้งนี้มีรากเหง้าที่ลึกและมืดกว่าที่ใครคาดคิด และมันไม่ใช่การไล่จับผู้ร้ายแบบเดิม ๆ อีกต่อไป แต่กลายเป็นการขุดคุ้ยอดีตและความผิดพลาดที่ไมค์เคยทิ้งไว้ พร้อมกับบีบบังคับให้เขาต้องเลือกระหว่างการเป็น “Bad Boy” ที่ไม่กลัวตาย หรือยอมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องยอมรับว่า “บางอย่างเราสู้ด้วยปืนไม่ได้”

เคมีของ Will Smith และ Martin Lawrence ยังคงสดใหม่ แม้จะผ่านมาหลายปี พวกเขายังคงถ่ายทอดพลังของมิตรภาพที่แข็งแกร่งและอบอุ่นได้อย่างน่าประทับใจ Martin รับบทมาร์คัสได้อย่างมีชีวิตชีวา เขายังตลกตามสไตล์ แต่ครั้งนี้มีความล้าในแววตา มีความลังเลที่จะหยิบปืนขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่ Will Smith ยังคงเปี่ยมเสน่ห์และแบกรับฉากบู๊ไว้ได้อย่างหมดจด แต่ที่เหนือกว่านั้นคือการแสดงอารมณ์ที่ซ่อนความรู้สึกผิด ความโกรธ และความสูญเสียได้อย่างทรงพลัง
งานภาพของหนังเรื่องนี้แม้จะไม่ใช่ฝีมือของ Michael Bay โดยตรง (ผู้กำกับ 2 ภาคแรก) แต่ผู้กำกับคู่ใหม่อย่าง Adil & Bilall ก็ถ่ายทอดอารมณ์ “Bayhem” ได้อย่างเข้าใจ ทั้งการเคลื่อนไหวกล้องที่ลื่นไหล ฉากแอ็กชันที่ระเบิดภูเขาเผากระท่อม และความเร็วแบบไม่มีพัก แต่ในขณะเดียวกันก็ใส่หัวใจลงไปในฉากที่เงียบกว่า ให้พื้นที่กับตัวละครได้เติบโตและตั้งคำถามกับชีวิต
Bad Boys for Life ยังเปิดตัวหน่วย AMMO หน่วยตำรวจรุ่นใหม่ที่นำโดย Vanessa Hudgens ซึ่งเป็นตัวแทนของความเปลี่ยนแปลงในวงการตำรวจ การใช้เทคโนโลยีเหนือความบ้าระห่ำแบบยุคเก่า แต่หนังก็ไม่ลืมแสดงให้เห็นว่าในสถานการณ์จริง บางครั้ง “หัวใจ” กับ “สัญชาตญาณ” ยังสำคัญกว่าข้อมูลจากจอคอมพิวเตอร์
สิ่งที่น่าจดจำในภาคนี้คือความจริงจังที่ซ่อนอยู่ในบท มันไม่ใช่แค่ หนังแอ็กชัน ที่วิ่งไล่จับผู้ร้าย แต่มันพูดถึง “การเปลี่ยนแปลง” ของคนที่แก่ขึ้น มีครอบครัว มีอดีต มีแผลในใจ และเริ่มตั้งคำถามว่า “ยังจำเป็นต้องต่อสู้อีกไหม?” การกลับมาของ Bad Boys ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การคืนชีพ แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากวัยหนุ่มหัวร้อน สู่ชายวัยกลางคนที่ต้องรับผิดชอบต่อทั้งอดีตและอนาคตของตัวเอง
เพลงประกอบอย่าง “Bad Boys” ยังดังขึ้นในฉากสำคัญ ทำให้เรานึกถึงยุคเก่า แต่ครั้งนี้มันฟังดูหม่นขึ้น เหมือนบทเพลงแห่งความหลังที่ถูกเล่นขึ้นในวันที่เราไม่อาจกลับไปเป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว
Bad Boys for Life คือหนังแอ็กชันที่มีหัวใจ มีทั้งเลือด ความรัก ความสูญเสีย และมิตรภาพที่แท้จริง มันคือตัวอย่างของหนังภาคต่อที่ “โตขึ้น” โดยไม่ทิ้งจิตวิญญาณเดิม เป็นภาคที่กลมกล่อม มีอารมณ์ และให้ความรู้สึกว่าบางที…ชีวิตที่ดีที่สุด อาจไม่ใช่การเป็น “Bad Boy” ตลอดไป แต่คือการเรียนรู้จะเป็น “Good Man” ในวันที่ยังพอมีเวลา