หนังเรื่องนี้ต้องบอกเลยว่า ไม่ใช่หนังแอ็กชันทั่วไป และไม่ใช่แอนิเมชันสำหรับเด็กด้วยเช่นกัน มันคือการระเบิดของความบ้าระห่ำ ความเสียดสี และการล้อเลียนความจริงทางการเมืองในแบบที่หยาบ โหด ฮา และ (อย่างไม่น่าเชื่อ) เฉียบคมอย่างไม่น่าให้อภัย เป็นผลงานจาก Trey Parker และ Matt Stone สองคู่หูจาก South Park ที่คราวนี้ไม่ได้ใช้ตัวการ์ตูน แต่เลือกใช้ “หุ่นเชิด” มาเป็นนักแสดงทั้งหมด… และมันโคตรเวิร์ก
เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกสมมติที่สหรัฐอเมริกามีหน่วยปฏิบัติการพิเศษชื่อว่า Team America ทำหน้าที่ “กู้โลก” จากผู้ก่อการร้ายข้ามชาติไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก แน่นอนว่าสไตล์การเข้าแทรกแซงของพวกเขาเต็มไปด้วยความรุนแรงแบบ Murica คือยิงก่อน ถามทีหลัง และระเบิดเมืองชาวบ้านเพราะเข้าใจผิด ทีมฮีโร่ผู้รักชาติกลุ่มนี้จึงเป็นทั้งวีรบุรุษในสายตาอเมริกัน… และเป็นฝันร้ายของโลกที่เหลือ
เมื่อมีภัยคุกคามระดับโลกจาก คิมจองอิล ผู้นำเผด็จการแห่งเกาหลีเหนือ (ในเวอร์ชันหุ่นสุดเกรียน) ร่วมมือกับกลุ่มนักแสดงฮอลลีวูดเสรีนิยมเพื่อแผนการยึดโลกสุดแสบ Team America ต้องหาวิธีเข้าแทรกแซงโดยการรับสมัคร “Gary” นักแสดงบรอดเวย์สุดหล่อเข้าร่วมทีม เพื่อแฝงตัวเข้าไปยังโลกของผู้ก่อการร้าย หนังจึงกลายเป็นภารกิจสุดเพี้ยน ที่ทั้งฮา ตลกร้าย และเสียดสีทุกสิ่งที่ขวางหน้า ตั้งแต่สงครามต่อต้านการก่อการร้าย, ลัทธิชาตินิยม, คนดังฮอลลีวูด ไปจนถึงวัฒนธรรมอเมริกันเซนเซอร์ที่ยึดแต่ศีลธรรมจอมปลอม

สิ่งที่ทำให้ Team America โดดเด่นและเป็นที่จดจำตลอดกาล คือความ “กล้า” อย่างเหลือเชื่อของทีมผู้สร้าง ไม่ว่าจะเป็นฉากแอ็กชันที่พยายามทำให้ “เวอร์เกินจริงแบบหุ่นเชิด” ฉากซึ้งแบบละครโรงเรียนประถมที่มีหุ่นขยับคอไปมาอย่างแข็งทื่อ หรือแม้แต่ฉากเพศสัมพันธ์ของหุ่นเชิดที่เล่นแรงจนต้องถูกตัดในบางประเทศ ทุกอย่างล้วนตั้งใจล้อเลียนความซีเรียสในหนังฮอลลีวูดอย่างจงใจ และที่น่าทึ่งคือยิ่งมันดูงี่เง่า มันกลับยิ่งตีแสกหน้าสังคมจริงได้เจ็บแสบขึ้นเรื่อยๆ
เพลงประกอบของเรื่องอย่าง “America, F*** Yeah!” กลายเป็นเพลงชาติของการล้อเลียนลัทธิชาตินิยมแบบอเมริกันจ๋า ทั้งเนื้อเพลงและจังหวะโคตรจะปลุกใจ แต่พอฟังดีๆ กลับเต็มไปด้วยความขบขันเสียดสีชนิดที่ทำให้คนดูหัวเราะทั้งน้ำตา
สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างคือ Team America เป็นหนังที่ล้อเลียนทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม ไม่มีใครรอด แม้กระทั่งเสรีนิยม นักแสดงฮอลลีวูด นักการเมือง นักข่าว คนดูเอง หรือแม้แต่ผู้สร้างเอง ทุกตัวละคร ทุกแนวคิด ทุกประเด็นการเมืองล้วนถูกนำมายำจนละเอียด และถ้าคุณรับมือกับความแรงของมุกได้ ก็จะเห็นว่ามันคือการวิพากษ์สังคมที่เฉียบขาดไม่ต่างจากหนังสารคดีจริงจังเลยทีเดียว
หนังไม่ได้บอกว่าใครดีใครเลว แต่มันตั้งคำถามกับทั้งสองฝั่งว่า “ใครกันแน่ที่ทำให้โลกวุ่นวาย?” บางทีฮีโร่ผู้ใส่เสื้อชาติอาจไม่ได้ช่วยอะไรเลย นอกจากสร้างซากปรักหักพังไว้กลางเมือง และบางทีผู้ที่เรียกร้องเสรีภาพก็อาจกำลังทำลายเสรีภาพของคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
จึงเป็นมากกว่าหนังหุ่นฮา ๆ แต่มันคือ หนังล้อเลียน ที่ฉลาดเกินคาด และยังเป็นเครื่องเตือนใจว่าบางครั้งความขัดแย้งทางอุดมการณ์ก็ไร้สาระพอ ๆ กับหุ่นเชิดที่ต่อยกันอยู่กลางจอ