คือ หนังสายลับ ที่พกพาความฮาแบบไร้ยางอาย แต่ก็ไม่ทิ้งความมันสะใจในสไตล์หนังแอ็กชันสายลับแบบที่ผู้ชมคาดหวัง หนังเรื่องนี้กำกับโดย Paul Feig เจ้าของผลงานคอมเมดี้แสบ ๆ คัน ๆ อย่าง Bridesmaids และ The Heat ซึ่งคราวนี้เขาคืนฟอร์มได้อย่างน่าชื่นชม ด้วยการจับเอานักแสดงหญิงอย่าง Melissa McCarthy มารับบทนำในโลกของสายลับที่เต็มไปด้วยชายหนุ่มสุดเท่ และหญิงสาวสุดร้าย บรรยากาศใน Spy คือการล้อเลียนหนังสายลับคลาสสิกแบบจิกกัด แต่ก็แฝงความรักและความเข้าใจในแนวหนังสายลับอย่างแนบเนียน
เรื่องราวเริ่มต้นด้วย Susan Cooper (Melissa McCarthy) เจ้าหน้าที่ CIA ที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องควบคุม อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเหล่าสายลับภาคสนามที่ได้เครดิตไปเต็ม ๆ เธอคือคนที่คอยวางแผนและชี้เป้าให้สายลับระดับพระกาฬอย่าง Bradley Fine (Jude Law) ทำงานได้อย่างราบรื่น แต่ชีวิตของ Susan ต้องพลิกผัน
เมื่อ Fine ถูกสังหารในภารกิจ และข้อมูลของสายลับภาคสนามถูกเผยแพร่ ทำให้หน่วยงานไม่มีใครเหลืออยู่เลยที่จะออกปฏิบัติการ เธอจึงอาสาออกไปสนามจริงเป็นครั้งแรก เพื่อหยุดยั้งแผนการร้ายของ Rayna Boyanov (Rose Byrne) ทายาทนักค้าอาวุธผู้ร้ายกาจ ก่อนที่โลกจะปั่นป่วนยิ่งไปกว่านี้

หนังสร้างสมดุลระหว่างฉากบู๊และมุกตลกได้อย่างเหลือเชื่อ Spy ไม่ใช่แค่หนังตลกบ้า ๆ บอ ๆ แต่เป็นหนังสายลับที่ใส่ใจในรายละเอียด ทั้งฉากไล่ล่า ยิงปืน สู้หมัดต่อหมัด มีน้ำหนัก มีพลัง และยังสมจริงพอจะให้คนดูอินไปกับมัน
Melissa McCarthy โดดเด่นแบบสุด ๆ ในบท Susan ที่ทั้งเปราะบางและกล้าหาญในเวลาเดียวกัน เธอไม่ใช่นางเอกสายลับหุ่นเพรียวสวยแบบ James Bond หรือ Ethan Hunt แต่เธอคือคนธรรมดา ๆ ที่ต้องเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดในโลกที่ไม่เป็นมิตร และยืนหยัดด้วยทักษะกับสัญชาตญาณแท้ ๆ
นอกจาก McCarthy แล้ว ตัวประกอบในเรื่องก็น่าจดจำไม่แพ้กัน Jason Statham มารับบท Rick Ford สายลับภาคสนามตัวพ่อที่โอ้อวดเกินเหตุ แถมเล่นใหญ่จนกลายเป็นตัวล้อเลียนตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ บทบาทนี้ทำให้คนดูได้เห็นมุมตลกของ Statham ที่ปกติมักเล่นบทซีเรียส Rose Byrne ที่มักจะรับบทสาวหวาน คราวนี้มาในมาดตัวร้ายสุดแสบ ปากคมกริบ สวมวิญญาณราชินีจอมเหวี่ยงได้แบบไม่ห่วงสวย และ Jude Law ก็ถ่ายทอด Fine ในสไตล์สายลับอังกฤษสุดคลาสสิกได้อย่างมีเสน่ห์
หนังเรื่องนี้นั้นฉลาดในการแซวขนบของหนังสายลับ ตั้งแต่เครื่องมือสายลับที่ไร้ประโยชน์ (นาฬิกาพ่นพริกไทย, ปากกากับดักงู) การปลอมตัวแสนจะน่าอนาถ จนถึงฉากแอ็กชันที่ขยายความเว่อร์วังแบบตั้งใจ หนังใช้ความน่าเชื่อของแนวสายลับมาเล่นตลก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะบอกเล่าเรื่องราวของการค้นพบตัวเอง ความกล้าหาญที่อยู่ใต้ความไม่มั่นใจ และการเรียนรู้ที่จะเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง
ดนตรีประกอบที่ได้ Theodore Shapiro มาทำคะแนน ก็ช่วยเสริมกลิ่นอายหนังสายลับคลาสสิกผสมกลิ่นสากยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ทั้งระทึก ทั้งเร้าใจ แต่ก็ขำกลิ้งได้แบบพอดี ๆ งานภาพคุมโทนฉูดฉาด เหมือนดูหนัง James Bond เวอร์ชันที่เล่นใหญ่ ใส่มุกประชดประชันทุก 5 นาที แต่ก็ไม่เสียสมดุลไปจากแก่นของหนัง
ท้ายที่สุด ไม่ได้เป็นแค่หนังตลกน้ำเน่า หรือหนังสายลับตะบี้ตะบันบู๊ แต่มันคือหนังที่พูดถึงการออกจาก Comfort Zone อย่างจริงจัง การเอาชนะความกลัว และพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าเราทำได้ ถึงแม้บางครั้งจะมีจังหวะหลุด ๆ บ้างในแง่ของมุกที่ล้นเกิน หรือการลากยาวบางฉากมากไปนิด แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าของหนังลดลงเลย
เป็นหนังที่ทั้งฮา ทั้งมัน ทั้งอบอุ่นใจในเวลาเดียวกัน เป็นคอมเมดี้สายลับที่ไม่ดูถูกผู้ชม และปลุกความรู้สึกดี ๆ แบบ “ฉันก็เก่งได้เหมือนกัน” ให้กับคนดูได้อย่างแสบสันและอิ่มเอม เป็นหนังที่คุณจะหัวเราะเสียงดังคนเดียวที่บ้าน แล้วนึกขอบคุณที่มันเคยเกิดขึ้นในโลกนี้